จุรินทร์ กระทู้ จบเอเปคแล้ว ถึงเวลาปรับ ครม.
จุรินทร์ กระทู้ ถึง ประยุทธ์ จบเอเปคแล้ว ถึงเวลาปรับ ครม.
วันที่ 21 พฤศจิกายน 2565 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ ถึงความคืบหน้าเรื่องการเสนอชื่อรัฐมนตรีของพรรคสำหรับการปรับ ครม. ว่า ตนได้ส่งชื่อบุคคลที่จะมาแทนนายนิพนธ์ บุญญามณี ซึ่งก็คือนายนริศ ขำนุรักษ์ ไปหลายสัปดาห์แล้ว และก็เห็นใจว่านายกฯ คงยุ่งอยู่กับ เอเปค แต่เมื่อเอเปคจบแล้ว ก็เห็นว่าสมควรแก่เวลาที่นายกฯ จะได้ช่วยดำเนินการได้ เพราะคนอื่นดำเนินการไม่ได้ ตนจะดำเนินการเองก็ไม่ได้ พรรคประชาธิปัตย์ทำเองก็ไม่ได้ มันต้องเป็นไปตามกฎเกณฑ์ กติกา ท่านนายกฯ ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลเท่านั้นที่จะนำชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ ดำเนินการตามขั้นตอนของรัฐธรรมนูญ
นายจุรินทร์ ยังกล่าวถึงผลโพลที่ออกมาดีหลังจากการทำงานหนักในช่วงการประชุมเอเปคที่ทำให้เกิดผลดีต่อประเทศ ว่า ช่วยให้มีกำลังใจในการทำงานขึ้น อย่างน้อยที่สุดผลโพลได้สะท้อนให้เห็นว่า สิ่งที่ตนทำไปนั้นประชาชนเฝ้าดูอยู่ และรับทราบ
“ความจริงความสำเร็จของเอเปค ก็ไม่ได้อยู่ที่ผมคนเดียว แต่ท่านนายกฯ ก็มีบทบาทสำคัญ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ภาคเอกชน เพื่อนข้าราชการทั้งหมด ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งก็ต้องถือโอกาสนี้ขอบคุณด้วย ผมก็เป็นฟันเฟืองตัวหนึ่ง เพราะเอเปค เราเริ่มต้นตั้งแต่การที่ผมทำหน้าที่เป็นประธานการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจการค้า เอเปค เมื่อเดือนพฤษภาคมปีนี้มาก่อน ซึ่งวงเอเปคไม่ได้มีวงเดียว แต่มีวงรัฐมนตรีเศรษฐกิจการค้า และวงซัมมิท ระดับผู้นำ ซึ่งก็ประสบความสำเร็จมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เพราะทำให้เรามีฉันทามติในเรื่องการขับเคลื่อนเอเปค ให้กลายเป็น FTA ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งจะมีส่วนช่วยสมาชิกทั้ง 21 เขตเศรษฐกิจ รวมทั้งประเทศไทยด้วย” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
นายจุรินทร์ กล่าวว่า คิดว่า เศรษฐกิจประเทศไทยยังเดินได้ และการส่งออกก็ยังเป็นตัวขับเคลื่อน แม้ว่าบางช่วงอาจจะบวกบ้าง ลบบ้าง ถือว่าเป็นปรากฏการณ์ปกติ ขณะที่หลายประเทศในโลกลบติดๆ กันเยอะ แต่ของเรายังมีบวก และผมมั่นใจว่าภาพรวมปี 65 ตัวเลขยังเป็นบวก และคงเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจสำคัญ เมื่อเราได้การท่องเที่ยวมาเสริมก็จะช่วยทำให้เศรษฐกิจไทยขับเคลื่อนต่อไปได้ แต่อุปสรรคใหญ่คือภาพรวมเศรษฐกิจโลก แนวโน้มไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ซึ่งเราต้องยอมรับและทำความเข้าใจตั้งแต่เบื้องต้น เพราะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ปีที่แล้วเป็นบวก แต่ปีนี้มีแนวโน้มบวกน้อยลง และปีหน้าก็มีแนวโน้มบวกน้อยลงอีก