“8ปี หลังการปฏิวัติ”

8 ปีแล้ว ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าประเทศไทยยังคงมีผู้นำคนเดิมที่มาจากการปฏิวัติ ทั้งๆที่ทุกอย่างเสื่อมถอย แต่คนไทยก็ยังทนกันได้ ข้อแก้ตัวซ้ำๆถูกนำมาใช้แล้วใช้อีก โดยอ้างว่ามาจากการเลือกตั้ง ทั้งที่ผู้นำไม่ได้ลงเลือกตั้งเลย แถมกติกาก็เขียนมาเพื่อเอื้อประโยชน์ให้สืบทอดอำนาจโดยเฉพาะการมี 250 ส.ว. ที่มาจากการแต่งตั้งเองและโหวตเลือกตัวเองเป็นนายกฯได้ ที่อย่างไรก็จะไม่ยอมเปลี่ยน อีกทั้งคำอ้างซ้ำๆว่าที่ต้องเข้ามาเพราะเกิดความวุ่นวายเลยเข้ามาเพื่อให้เกิดความสงบ แต่ไม่ได้ส่องกระจกดูเลยว่าพวกที่สร้างความวุ่นวายคือคนที่อยู่รอบตัวผู้นำตอนนี้ทั้งนั้น ได้เป็น รมต. บ้าง เป็น สว. บ้าง เป็น ผู้ว่า กทม. บ้าง เป็น รอง ผู้ว่า กทม. บ้างเป็นต้น ต่างได้ก็ได้รับการปูนบำเหน็จในการสร้างความวุ่นวายจนสามารถเข้ามาทำการปฏิวัติและรักษาอำนาจไว้ได้นานถึง 8 ปีแล้ว

ในขณะที่เหตุการณ์ลักษณะคล้ายกันที่คนรุ่นใหม่ออกมาประท้วงอย่างสงบกลับถูกปราบปรามอย่างรุนแรง ซึ่งถ้าสมัยนั้นปราบปรามอย่างรุนแรงแบบเดียวกันก็ไม่จำเป็นต้องมีการปฏิวัติแล้วประเทศก็คงจะไม่เสียหายยับเยินเหมือนในปัจจุบัน แต่ถึงแม้จะย่ำแย่ขนาดนี้ หลายคนยังเข้าข้างและอวยผู้นำแบบไม่ลืมหูลืมตา ซึ่งทำให้เข้าใจได้เลยว่าสถานการณ์ของประเทศพม่าในอดีตที่ย่ำแย่และเสื่อมถอยเป็นระยะเวลานานและยังลามมาถึงปัจจุบัน น่าจะเกิดมาได้จากขบวนการความคิดและการจัดการแบบเดียวกัน นั่นคือการสร้างความแตกแยกในหมู่ประชาชนเพื่อประคองอำนาจของตน
สภาพย่ำแย่และเสื่อมถอยเกิดขึ้นเกือบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ สังคม และ การเมืองเหมือนประเทศไทยย้อนยุคถอยหลังไปในอดีต ในขณะที่โลกกำลังขับเคลื่นไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วด้วยการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีในโลกสมัยใหม่ แต่ไทยกลับมีผู้นำที่เชยๆเฉิ่มๆพูดอะไรก็เหมือนกับย้อนยุคล้าสมัยจนคนรุ่นใหม่รับไม่ได้เลย
ความเสื่อมถอยที่เห็นชัดที่สุดและปฏิเสธไม่ได้เลยเพราะเป็นตัวเลขชัดเจนคือความเสื่อมถอยทางด้านเศรษฐกิจ ที่ผู้เขียนเตือนมาตลอด 8 ปี แต่ดูเหมือนผู้นำจะไม่เข้าใจ คิดเพียงว่าอยู่ฝั่งตรงข้ามจะมาโจมตีเท่านั้น แต่ไม่ได้ดูผลเลยว่าเป็นอย่างที่เตือนทุกอย่าง ภาวะตามทฤษฎีกบต้มได้ปรากฏให้เห็นชัดขึ้นทุกวัน แต่ก็ยังดันทุรังส่งคนมาเถียงแบบไร้ความรู้ ยิ่งตอกย้ำความไม่รู้ของผู้นำ แม้ผู้นำจะนึกขึ้นได้บางครั้งถึงขนาดส่งคนสำคัญมาเชิญผู้เขียนไปร่วมงานด้วย ทั้งที่เคยเรียกผู้เขียนไป 12 ครั้ง ทั้งปรับทัศนคติและดำเนินคดี แต่ผู้เขียนก็ต้องปฎิเสธไปเพราะคงไม่สามารถรับใช้เผด็จการและเผด็จการสืบทอดอำนาจได้ และยังรู้ว่าทำไปก็แก้อะไรไม่ได้ ถ้าผู้นำยังไม่มีหลักคิด ดังจะเห็นได้ว่าคนที่เข้าไปทำงานทุกคนจะมีสภาพขาดความรู้ความคิดตามผู้นำกันหมด พูดอะไรก็เชยๆเฉิ่มๆตามผู้นำกันหมด
สภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ตั้งแต่ก่อนวิกฤตไวรัสโควิด มาเผชิญกับภาวะวิกฤตและภาวะหลังวิกฤตก็ยังย่ำแย่ไม่ต่างอะไรกัน เศรษฐกิจไทยจึงขยายตัวได้ต่ำเตี้ยตลอด 8 ปีที่ผ่านมาเฉลี่ยแล้วขยายตัวได้เพียง 1% กว่าเท่านั้น อีกทั้งต้องเผชิญกันหนี้สาธารณะของประเทศที่พุ่งสูงเกิน 10 ล้านล้านบาททะลุเพดาน 60% ของจีดีพี จนต้องขยายเพดานเป็น 70% และทำท่าจะชนเพดานอีกไม่นานนี้ ซึ่งไม่รู้ลูกหลานจะใช้คืนหนี้นี้ได้อย่างไรถ้ายังเก็บภาษีได้เพียง 16-17% ของจีดีพีเท่านั้น หนี้ครัวเรือนที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์สูงเกือบ 15 ล้านล้านบาททะลุ 90% ของจีดีพีแล้วและยังทำท่าจะพุ่งขึ้นต่อไปเพราะประชาชนไม่สามารถหารายได้เพิ่มได้ จากความล้มเหลวของผู้นำในการบริหารประเทศ
หนี้ภาคธุรกิจกำลังจะกลายเป็นหนี้เสียในระบบธนาคารกันมาก และจะเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆจากเศรษฐกิจที่ขยายตัวต่ำ ในขณะที่หนี้นอกระบบที่คิดดอกเบี้ยมหาโหดกลับเบ่งบานเพราะธนาคารไม่ปล่อยกู้รายย่อย ปัญหาหนี้เหล่านี้มีแต่จะเพิ่มขึ้นไม่มีลดลง แม้รัฐบาลจะพยายามจัดแคมเปญขายฝันว่าจะลดหนี้ภาคครัวเรือนที่สูงให้ลดลง ซึ่งจะทำได้ก็ต่อเมื่อประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้นแต่คนส่วนใหญ่รายได้เท่าเดิมหรือลดลงแล้วจะลดหนี้ได้อย่างไร ดังนั้นจึงเป็นเพียงแค่โครงการแก้เก้อเท่านั้น นี่ยังไม่พูดถึงคนตกงานอีกหลายล้านคนและคนจนที่เพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมากจนต้องแจกบัตรคนจนเพิ่มเป็น 20 ล้านใบ
นอกจากนั้น ความสามารถแข่งขันของประเทศไทยก็ลดลงเรื่อยๆ ไทยสูญเสียศูนย์กลางการขนส่งทางรางของภูมิภาคนี้ให้กับประเทศลาวแล้ว หลังจากที่โครงการรถไฟความเร็วสูงจีน-ลาวเสร็จแต่ของไทยทำได้แค่ 3.5 กม. ซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่รู้เลยว่าอยู่แถวไหนและไม่เคยได้เห็นในขณะที่การผลิตรถยนต์ที่ไทยเคยเป็นผู้นำ แต่ตอนนี้รถยนต์สมัยใหม่ย้ายไปผลิตที่อินโดนิเซียกันแล้ว และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ได้ย้ายไปลงทุนในเวียดนามกันเป็นจำนวนมาก อีกทั้งไทยกลายเป็นเมืองขึ้นทางเทคโนโลยีของต่างชาติไปแล้ว เพราะไม่มีบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่หรือ ยูนิคอร์นที่มีมูลต่าเป็นแสนๆล้าน เป็นของตัวเอง ในขณะที่ประเทศในอาเซียนที่มีศักยภาพได้พัฒนาด้านนี้ไปไกลมากแล้ว ไทยกลายเป็นประเทศผู้ใช้เทคโนโลยีเท่านั้น
ความเหลือมล้ำระหว่างคนรวยและคนจนของไทยยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนขึ้นอันดับหนึ่ง และรัฐบาลยิ่งเพิ่มความเหลื่อมล้ำให้มากขึ้น โดยปล่อยให้มีการควบรวมกิจการของเจ้าสัว เข่น การควบรวมของ แมคโคร และ เทสโก้ โลตัส ที่มีสัดส่วนการตลาดถึง 75.8% และ การควบรวมของบริษัทโทรคม ทรู และ ดีแทค ที่กำลังจะเกิดขึ้น รวมถึงการปล่อยให้มีอิทธิพลทางด้านธุรกิจพลังงานให้กับคนบางกลุ่ม ซึ่งจะปิดโอกาสของคนรุ่นใหม่ในการจะขึ้นมาเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ในอนาคต เพราะถูกกลุ่มทุนผูกขาดปิดกั้นหมด
ที่สำคัญที่สุดคือ การทุจริตคอรัปชั่นที่ถูกอ้างเป็นสาเหตุหลักอยู่เสมอในการเข้ามาทำการปฏิวัติรัฐประหารมาตลอด แต่พอบริหารเองกลับมีการทุจริตเพิ่มมากขึ้น ผลการจัดอันดับดัชนีความโปร่งใสที่ใช้วัดระดับการคอรัปชั่นของนานาชาติปรากฏว่าไทยมีอันดับคอรัปชั่นลดลง 5 ปีติดต่อกัน จากอันดับที่ 96 ในปี 2560 ลงมาอยู่ที่อันดับ 110 ในปี 2564 เป็นเครื่องพิสูจน์ชัดเจนถึงการคอรัปชั่นที่เพิ่มมากขึ้นที่จัดอันดับโดยองค์กรระหว่างประเทศไม่ใช่แค่วาทกรรม

การคอรัปชั่นนี้ยังหมายรวมถึงการใช้อำนาจโดยมิชอบ เช่น ในกรณีเหมืองทองอัคราที่มีการให้สัมปทานที่ดินจำนวนหลายแสนไร่ เพียงเพื่อจะเลี่ยงการถูกศาลตัดสินคดีจ่ายค่าเสียหายที่ยกเลิกสัมปทาน ที่ผู้นำยังไม่ได้อธิบายเรื่องนี้ การนำเงินกองทุนส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน 20,087.42 บาทที่เป็นเงินของประชาชนแต่กลับโอนเข้ารัฐและไม่คืนมา การโกงเงินถุงมือยาง 2,000 ล้านบาท การซื้อวัคซีนซิโนแวคในราคาที่ไม่ตรงกันระหว่างเงินที่ขออนุมัติและราคาที่ซื้อจริงแต่ไม่ได้มีหลักฐานการโอนเงินส่วนต่างคืนรัฐ การจัดซื้อเรือดำน้ำที่ไม่มีเครื่องยนต์ การอนุมัติโครงการท่อส่งน้ำในอีอีซีกว่า 2 หมื่นล้านบาท เป็นต้น
นอกจากความเสื่อมถอยด้านเศรษฐกิจแล้ว ความเสื่อมถอยทางสังคมก็ทรุดลงไม่ต่างกัน คนรุ่นใหม่ใหม่อึดอัดกับสภาพที่เป็นอยู่ และได้พยายามออกมาเรียกร้องโดยการประท้วงแต่ก็ถูกใช้ความรุนแรงและถูกดำเนินคดี จนไม่กล้าออกมาประท้วงกันนัก แต่ความรู้สึกไม่ได้ลดลง ความต้องการที่จะย้ายประเทศพุ่งสูงเป็นล้านคน เพราะมองไม่เห็นอนาคตที่จะอยู่ภายใต้ผู้นำที่ขาดทั้งองค์ความรู้และไร้ซึ่งวิสัยทัศน์ สภาพสังคมถูกกดดันให้ย้อนยุคกลับไปในอดีต การแสดงความเห็นถูกปิดกั้น แถมยังมีไอโอของ ภาครัฐออกมาคอยยุแหย่ให้ประชาชนแตกแยกกัน เพียงเพื่อรักษาอำนาจของผู้นำโดยไม่คำนึงถึงผลลัพธ์ที่ตามมาว่าจะสร้างความแตกแยกอย่างหนักให้กับคนในประเทศ
ในฐานะที่ผู้เขียนเป็นผู้หนึ่งที่ถูกกระทำจากการละเมิดสิทธิ์ส่วนบุคคลในการถูกเรียกรวม 12 ครั้ง เพียงเพราะแสดงความติดเห็นทางเศรษฐกิจที่ย่ำแย่และเศรษฐกิจก็ได้ย่ำแย่จริง ดังนั้น จึงอยากขอเรียกร้องให้ปล่อยตัวคนรุ่นใหม่ที่ถูกจำคุกเพื่อเพราะแสดงความเห็นตรงข้ามกับรัฐบาล ซึ่งประเทศนี้ควรต้องมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นแล้ว การกดเสรีภาพทางความคิดจะไปจำกัดความคิดสร้างสรรในเรื่องอื่นด้วย จะยิ่งทำให้ประเทศพัฒนาต่อไปได้ยาก
ความเสื่อมถอยทางการเมืองน่าจะเป็นปัญหามากที่สุด และจะยิ่งเพิ่มปัญหารุนแรงให้กับประเทศมากขึ้นไปเรื่อยๆ ถ้ายังไม่เปลี่ยนแปลง หลังการเลือกตั้ง การเมืองไทยยิ่งกว่าย้อนยุคโดยมี ส.ว. 250 คนโหวตนายก แม้พรรคการเมืองที่สนับสนุนผู้นำจะแพ้การเลือกตั้งแต่ก็ตั้งรัฐบาลได้ แถม ส.ว. แต่ละคนก็มีแนวคิดไม่ได้อิงกับประชาชนเลย มีไว้เอาใจผู้นำและอวยอำนาจเผด็จการเท่านั้น ระบบพรรคการเมืองที่ควรจะเข้มแข็งและมีพรรคใหญ่ไม่กี่พรรค กลับถูกออกแบบให้มีพรรคเล็กจำนวนมากเพื่อมาต่อรองผลประโยชน์ ไม่ต่างอะไรกับในอดีตที่ทำให้ต้องมีรัฐธรรมนูญปี 2540 เพื่อจะให้ พรรคการเมืองแข็งแรง ผลคือตลอดเวลาหลังการเลือกตั้งที่ผ่านมาจึงมีแต่เรื่องการแจกกล้วยเพื่อประคองความอยู่รอดของผู้นำ ขนาดรู้ว่าเป็นปัญหาและคิดจะแก้ไขเป็นบัตร เลือกตั้ง2 ใบกันแล้ว แต่ก็ยังแก้กลับไปเป็น หาร 500 ให้กลับไปสู่ปัญหาเดิมอีก
ปัญหาและความเสื่อมถอยของประเทศยังมีอีกมากคงเขียนได้ไม่หมด ทั้งหมดนี้เกิดจากความพยายามที่จะรักษาอำนาจของผู้นำเท่านั้น โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายอย่างใหญ่หลวงของประเทศที่ต้องแลกไปเพียงเพื่อจะรักษาอำนาจของผู้นำคนเดียว โดยที่ผู้นำยังเชื่อ
โดย นายพิชัย นริพทะพันธุ์ ใน นสพ. มติชน หน้า 12