ก้าวไกล จี้ รัฐยอมรับ ‘ถังแตก’ แนะ หนุนค่าครองชีพโดยตรง
ก้าวไกล บี้ รัฐบาลกล้ายอมรับ ‘ถังแตก’ อุ้มราคาน้ำมันไม่ไหวแล้ว แนะเปลี่ยนเป็นหนุนค่าครองชีพโดยตรง
วันที่ 9 มีนาคม 2565 ที่อาคารอนาคตใหม่ น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล แถลงว่าผลกระทบจากสงครามยูเครน-รัสเซีย ส่งผลต่อค่าครองชีพและรายได้ประชาชนอย่างมหาศาล ผ่านราคาพลังงานที่พุ่งสูงที่สุดในรอบ 13 ปี ราคาอาหารสัตว์-ปุ๋ย ขยับขึ้น และจะส่งต่อมาที่อาหารสด ส่วนรายได้จากภาคท่องเที่ยวหยุดจะชะงักเพราะนักท่องเที่ยวจากรัสเซียลดลง
“ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่สินค้าแพงขึ้นจนอัตราเงินเฟ้อเดือน ก.พ. พุ่งขึ้นเป็น 5.3% สูงสุดในรอบ 13 ปี วิกฤตระลอกใหม่กำลังก่อตัวขึ้นอันเป็นผลมาจากสงครามและการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจกับประเทศรัสเซีย ซึ่งจะส่งให้เงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้นไปอีก จากราคาพลังงานทั้งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ เนื่องจากรัสเซียเป็นผู้ส่งออกน้ำมันอันดับ 2 ของโลก รองจากซาอุดิอาระเบีย และเป็นผู้ส่งออกก๊าซธรรมชาติรายหลักให้กับทวีปยุโรป ล่าสุด ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาได้ออกข้อสั่งการแบนการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย ส่วนยุโรปประกาศลดการนำเข้าก๊าซจากรัสเซียลง 2 ใน 3 ทำให้มีการคาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันดิบอาจจะขึ้นไปสูงถึง 185$/bll (JP Morgan) บางแห่งประเมินว่าจะขึ้นไปถึง 200$/bll เช่น แบงค์ออฟอเมริกาหรือบาร์เคลย์”
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า นอกจากนี้ รัสเซียและยูเครนเป็นผู้ผลิตข้าวสาลี (29%) และข้าวโพด (19%) ถือเป็นแหล่งใหญ่อันดับต้นๆของโลก ขณะนี้ราคาของทั้งสองตัวกำลังปรับขึ้นสูงมาก ข้าวสาลีราคาขึ้นมาเกือบ 2 เท่า ข้าวโพดเพิ่มขึ้น 50% ตอนนี้วัตถุดิบเริ่มส่งสัญญาณขาดตลาดแล้วในประเทศไทย ซึ่งสุดท้ายต้นทุนก็จะมาตกกับเกษตรกรที่ทำปศุสัตว์และส่งต่อไปที่ราคาอาหารอย่างเนื้อสัตว์และไข่
“รัสเซียเป็นผู้ส่งออกปุ๋ยรายใหญ่เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะฟอสเฟตและโปแทส ตอนนี้รัฐบาลรัสเซียประกาศแบนการส่งออกปุ๋ยเคมี ย่อมซ้ำเติมกับต้นทุนราคาปุ๋ยของเกษตรกร แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้ราคาสินค้าเกษตรขายได้แพงขึ้น รัฐบาลจึงจำเป็นต้องมีการทบทวนต้นทุนสินค้าเกษตรที่ใช้ในการคำนวณราคาประกันตามโครงการประกันรายได้ เพื่อให้ราคาประกันที่เกษตรกรได้รับ สอดคล้องกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น”
น.ส.ศิริกัญญา ย้ำว่า ขณะนี้รัฐบาลเดินมาถึงทางตันแล้ว ไม่มีเงินพออุ้มราคาน้ำมันได้อีก พรรคก้าวไกล จึงมีข้อเสนอเพื่อบรรเทาปัญหาค่าครองชีพสูงจากราคาน้ำมัน ดังนี้
1. รัฐบาลต้องยอมรับกับประชาชนตรงไปตรงมา ว่าด้วยงบประมาณที่มี ‘รัฐถังแตก’ แล้ว ไม่มีเงินพออุดหนุนราคาน้ำมันต่อในระยะยาว
2. ต้องเปลี่ยนจากการอุ้มราคาน้ำมันแบบเหมารวมทั้งประเทศ มาเป็นการอุดหนุนค่าครองชีพโดยตรงให้ประชาชน ช่วยทั้งผู้ใช้เบนซินและดีเซล มุ่งเป้าคนรายได้น้อย โดยเติมเงินเพิ่มในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ พร้อมกับต้องขยายสิทธิบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้ครอบคลุมมากขึ้น เพราะมีคนจนเพิ่มจำนวนมากจากสภาวะเศรษฐกิจในเวลานี้ แต่ยังไม่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
3. นำเงินไปอุดหนุนตรงให้กับขนส่งสาธารณะและภาคโลจิสติกส์ เช่น กลุ่มรถบรรทุก เพื่อใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ ตรงกลุ่มเป้าหมาย
“เราต้องการรัฐบาลที่มีวิสัยทัศน์ในการแก้ไขปัญหาค่าครองชีพของประชาชน มองการณ์ไกล รวมถึงต้องกล้ายอมรับ กล้าพูดความจริงกับประชาชน” น.ส.ศิริกัญญา ระบุ