“วิรไท”หนุนใช้ FinTech ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ธปท.หนุนการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพื่อผลัดดันสังคมไทยเข้าสู่ยุคดิจิทัล โดยมีเป้าหมายหลัก 3 ประกาศคือ 1.ต้นทุนถูกลง 2.สร้างภูมิคุ้มกันทางธุรกิจ และ3.การใช้เทคโนโลยีลดความเหลื่อมล้ำ
นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า เทคโนโลยีทางการเงิน (FinTech) ในปัจจุบันถือว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมาก และมีการเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างรวดเร็วเมื่อเทียบกับอดีตที่ผ่านมา และมีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ เพราะเทคโนโลยีนำมาซึ่งโอกาสและความท้าทายใหม่ๆ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ทั้งประชาชนและภาคธุรกิจเองจำเป็นต้องให้ความสำคัญและปรับตัวให้ทันเพื่อเข้าสู่สังคมดิจิทัล
ทั้งนี้ ธปท.ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการนำเทคโนโลยีทางการเงินในรูปแบบใหม่ๆ มาใช้เพื่อช่วยตอบโจทย์ทั้งในด้านการดำเนินชีวิตของประชาชนและการประกอบกิจการของภาคธุรกิจ เนื่องจากประโยชน์ใน 3 มิติที่สำคัญ คือ 1.ช่วยยก ระดับผลิตภาพให้แก่ทั้งประชาชน และภาคเศรษฐกิจของไทย ทำให้ภาคธุรกิจมีต้นทุนการประกอบการที่ถูกลง สร้างรายได้เพิ่มให้แก่ภาคธุรกิจ สามารถเข้าถึงตลาดใหม่ได้สะดวกขึ้น
2.การนำเทคโนโลยีทางการเงินใหม่ๆ มาใช้จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันและลดความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ มีเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่ช่วยลดความสูญเสีย และช่วยป้องกันมิจฉาชีพทางการเงินได้มากขึ้น
และ 3.ช่วยส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงินได้ทั่วถึงมากขึ้น เพราะการมีเทคโนโลยีทางการเงินใหม่ๆ จะช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินที่หลากหลาย แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ สร้างโอกาสในรายได้และทรัพย์สิน
“ธปท.มองว่าเรื่องเทคโนโลยีทางการเงินเป็นเรื่องสำคัญ วันนี้เราจึงจัดงาน Bangkok Fintech Fair 2018 ขึ้นเป็นครั้งแรก โดยมีเป้าหมายสำคัญเพื่อส่งเสริมการใช้ฟินเทคในบริการทางการเงินของประชาชน และผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งเป็นกลุ่มพลังสำคัญที่มีผลต่อศักยภาพของระบบเศรษฐกิจไทย” นายวิรไท กล่าว
พร้อมระบุว่า หากเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านแล้วพบว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยนำฟินเทคมาใช้ในหลายมิติ และสร้างความตื่นตัวให้แก่ภาคธุรกิจและประชาชน โดยจะเห็นได้ชัดจากระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ เช่น พร้อมเพย์ ที่ปัจจุบันมีผู้นิยมใช้บริการมากกว่า 39 ล้านบัญชี ซึ่งช่วยลดต้นทุนในการชำระเงินโอนเงิน และต่อยอดไปสู่อีคอมเมิร์สในด้านอื่นๆ นอกจากนี้ไทยยังเป็นประเทศแรกในภูมิภาคที่มีการใช้ระบบ QR code ที่เป็นมาตรฐาน ทำให้ง่ายในการเข้าถึงบริการทางการเงิน ขณะที่ Reculatory SandBox นั้นขณะนี้มีเทคโนโลยีทางการเงินใหม่ๆ ที่หลากหลายเข้ามาทดสอบในระบบ เช่น การชำระเงินข้ามประเทศ การพิสูจน์ตัวตนด้วยการสแกนม่านตาในการทำธุรกรรมทางเงิน เป็นต้น
“ยอมรับว่ายังมีภาคธุรกิจอีกจำนวนมากที่ยังไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีทางการเงินในรูปแบบใหม่ๆ ได้ ดังนั้นทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะต้องช่วยกันสร้างความเข้าใจถึงความสำคัญของฟินเทคว่ามีความสำคัญ และทำให้ประชาชนและภาคธุรกิจเกิดการรับรู้ ซึ่งปัจจุบันมีคนไทยที่สามารถพัฒนาแอพพลิเคชั่นดีๆ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่ภาคธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการจัดทำบัญชี, การบริหารทรัพยากรบุคคล และเชื่อว่าจะมีการพัฒนาผลงานที่สามารถต่อยอดได้อีก” นายวิรไท กล่าว.