คลังลั่นดาลลงทุนเงินดิจิทัล
“อภิศักดิ์” ไม่สนปิดประตูเงินดิจิทัลในไทย แม้จะอนุญาตแจ้งเกิดได้ แต่นักลงทุนต้องเสียภาษีหัก ณ ที่จ่ายในอัตรา 15% ของผลกำไร และภาษีมูลค่าเพิ่มอีก 7% พร้อมใส่ยาแรงบริษัทที่ออกไอซีโอไปแล้วต้องจดทะเบียนกับ ก.ล.ต.ใน6 เดือน
“กระทรวงการคลังไม่ได้ปิดกั้นโลกเสรีทางการเงิน แต่เรามองว่าคริปโตเคอเรนซี (Cryptocurrency) และไอซีโอ เป็นการเล่นพนัน” นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.กระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายธนาคารกรุงไทย เมื่อวันที่ 14 มี.ค. พร้อมด้วย นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และกล่าวต่อว่า
เมื่อวันที่ 13 มี.ค.ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การประกอบสินทรัพย์ดิจิทัล และ พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรเพื่อจัดเก็บภาษีจากทรัพย์สินดิจิทัล จะครอบคลุมทั้งการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล (คริปโตเคอเรนซี) และการระดมทุนด้วยการเสนอขาย Initial Coin Offering (ICO) จากผู้ประกอบการรายใหม่และรายเก่า โดยในส่วนผู้ประกอบการรายเก่าต้องมาจดแจ้งขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลัก ทรัพย์ (ก.ล.ต.) ภายใน 6 เดือน ส่วนผู้ประกอบการรายใหม่หากต้องการดำเนินการก็ต้องขอจดแจ้งขึ้นทะเบียนกับ ก.ล.ต. ก่อนที่จะดำเนินการ
“พ.ร.ก. ดังกล่าวจะให้อำนาจ ก.ล.ต. เป็นผู้กำกับดูแลผู้ประกอบการที่เกี่ยวกับคริปโตเคอเรนซีและ ไอซีโอ ดังนั้นผู้ที่จะเข้ามาดำเนินธุรกิจจึงต้องขอใบอนุญาตจากทาง ก.ล.ต.ก่อน โดยผู้ได้รับใบอนุญาตต้องส่งรายงานการซื้อและขาย ทั้งคริปโตฯ และไอซีโอ เพื่อป้องกันเงินดำ (เงินนอกระบบ) มาฟอกเงิน” รมว.คลัง กล่าว และยื่นยันว่า นายแบงก์ใหญ่ทั่วโลกและผลการหารือในที่ประชุมจี20 เห็นว่า ต้องจะควบคุมเงินดิจิทัล และไม่สนับสนุนลูกค้าไปลงทุนในเงินดังกล่าว
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะดำเนินการ พ.ร.ก.ทั้ง 2 ฉบับควบคู่กันไป โดยในส่วนของการเก็บภาษีจากการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล หากมีกำไรหรือเงินปันผลจะต้องเสียภาษีหัก ณ ที่จ่ายทันที ในอัตรา 15% โดยจะจัดเก็บจากตัวแทนหรือคนกลาง หลังจากเมื่อถึงเวลายื่นภาษีปลายปีต้องนำรายได้จากธุรกรรมดิจิทัลไปคำนวณปลายปี และนำภาษีหัก ณ ที่จ่ายไป 15% เครดิตหักภาษี หากจ่ายภาษีเกินก็ขอคืน แต่หากจ่ายภาษีน้อยกว่า ก็ต้องจ่ายภาษีให้แก่รัฐบาลเพิ่มเติม
นอกจากนี้ กฎหมายยังให้กรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) จากผู้ประกอบการคริปโตเคอเรนซี และไอซีโอ แต่จะยกเว้นให้กับนักลงทุนที่เป็นบุคคลธรรมดา
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังยังขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คงประกาศขอความร่วมมือไม่ให้ธนาคารพาณิชย์สนับสนุนธุรกรรมคริปโตเคอเรนซี ก็ไม่จำเป็นต้องยกเลิก เพราะเท่าที่ได้พบกับผู้บริหารสถาบันการเงินต่างประเทศขนาดใหญ่หลายแห่งได้สอบถามความเห็นเรื่องคริบโตเคอเรนซี ซึ่งทุกแห่งยืนยันว่าไม่ให้ทำและไม่สนับสนุน โดยระบุชัดเจนว่าไม่ส่งเสริมให้ลูกค้าเล่นการพนัน
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ภายในเดือน มี.ค.นี้ กฎหมายที่จะใช้ควบคุมการลงทุนในคริปโตเคอเรนซี และการระดมทุนผ่านไอซีโอจะแล้วเสร็จ โดยยืนยันว่าไม่ได้เป็นการปิดกั้นการลงทุน แต่เป็นการควบคุมให้อยู่ในกรอบ ซึ่งไม่ได้เปิดเสรี โดยกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก.ล.ต. และสำนักงานป้องกันและปราบ ปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) จะดูแลเรื่องนี้อย่างเต็มที่ เพื่อไม่ให้มีความเสี่ยงที่จะมีผลกระทบกับความมั่นคง
ด้านนายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย (KTB) เปิดเผยว่า ธนาคารประกาศชัดเจนว่าไม่รับทำธุรกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับคริปโตเคอเรนซีหรือไอซีโอ โดยหากธนาคารสามารถตรวจสอบที่มาที่ไปของการเปิดบัญชีธนาคารว่าเป็นการทำธุรกรรมตามปกติก็ไม่มีปัญหา แต่หากตรวจสอบแล้วพบว่าไม่ได้เป็นการทำธุรกรรมปกติ หรือเป็นการทำธุรกรรมที่ไม่ถูกต้อง ก็ต้องมีการปิดบัญชี ซึ่งที่ผ่านมากรุงไทยได้มีการปิดบัญชีที่ไม่ถูกต้องไปบ้างแล้ว แต่มีไม่มาก.