สตง.โต้ไม่ได้ล็อกแสนคัน ยันข่าวมั่ว
สตง.แจงรายละเอียดโครงการรถยนต์คันแรก ยืนยันพิจารณาตามเอกสารของกรมสรรพสามิตไม่มีล็อกรถ เนื่องจากรถยนต์ที่เข้าร่วมโครงการรถยนต์คันแรกตรวจเสร็จตั้งแต่ปี 2558 พร้อมระบุกรมสรรพสามิตตรวจพบรถไม่เข้าเงื่อนไขรถยนต์คันแรกเพียง 52 รายเท่านั้น
นายพรชัย จำรูญพานิชย์กุล รองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน รักษาการแทน ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน แถลงว่า ตามที่ปรากฏข่าวทางสื่อออนไลน์ว่ามีเจ้าของรถยนต์ที่เข้าร่วมโครงการมาตรการรถยนต์คันแรกหลายรายไม่สามารถโอนรถให้กับบุคคลอื่นได้ เนื่องจากข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์แจ้งว่ารถคันดังกล่าวถูก กรมสรรพสามิตระงับการโอนสิทธิ ซึ่งกรมสรรพสามิตได้ชี้แจงว่ารถคันดังกล่าวอยู่ในข่ายกำลังถูกตรวจสอบจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ว่าทำผิดเงื่อนไขการขอ รับสิทธิหรือไม่ พร้อมระบุว่า สตง. มีข้อสงสัยเรื่องการดำเนินการของกรมสรรพสามิตในการพิจารณาอนุมัติให้สิทธิรถยนต์คันแรกแก่ประชาชนจำนวนกว่าหนึ่งแสนราย เนื่องจากตรวจพบว่าประชาชนกลุ่มดังกล่าวยื่นเอกสารเพิ่มเติมให้กรมสรรพสามิตพิจารณาเกินระยะเวลาตามเงื่อนไขการขอใช้สิทธิที่กำหนดให้ยื่นเอกสารภายในวันที่ 31 ธ.ค.2555 และหาก สตง. สรุปผลการตรวจสอบว่าประชาชนผู้ขอใช้สิทธิกว่าหนึ่งแสนรายทำผิดเงื่อนไข จะต้องนำเงินภาษีมาคืนกรมสรรพสามิตทั้งหมด นั้น
สตง. ขอเรียนชี้แจงเพื่อให้สาธารณชนได้รับทราบว่า สำหรับกรณีของโครงการมาตรการรถยนต์คันแรกนั้น สตง. ได้ดำเนินการตรวจสอบเสร็จสิ้นตั้งแต่ปีงบประมาณ 2558 แล้ว และได้เสนอรายงานฉบับสมบูรณ์ให้กรมสรรพสามิตเพื่อดำเนินการตามข้อเสนอแนะของ สตง. ในช่วงเดือนมี.ค. 2559 ดังนั้น ข้อมูลที่ปรากฏทางสื่อออนไลน์ว่ากรณีเจ้าของรถยนต์หลายรายที่ไม่สามารถโอนรถให้กับบุคคลอื่นได้ โดยมีการพาดพิงว่าเป็นเรื่องที่อยู่ในข่ายกำลังถูกตรวจสอบจาก สตง. จึงไม่เป็นความจริง
นอกจากนี้ ข่าวดังกล่าวยังมีประเด็นที่คลาดเคลื่อนไปจากข้อเท็จจริง โดยเฉพาะกรณีที่ระบุว่า สตง. มีข้อสงสัยเรื่องการดำเนินการของกรมสรรพสามิตในการพิจารณาอนุมัติให้สิทธิรถยนต์คันแรกแก่ประชาชนจำนวนกว่าหนึ่งแสนราย เนื่อง จากตรวจพบว่าประชาชนกลุ่มดังกล่าว ยื่นเอกสารเพิ่มเติมให้กรมสรรพสามิตพิจารณาเกินระยะเวลาตามเงื่อนไขการขอใช้สิทธิที่กำหนดให้ยื่นเอกสารภายในวันที่ 31 ธ.ค.2555 ซึ่งจากรายงานการตรวจสอบของ สตง. ระบุว่า สตง. ได้สุ่มตรวจ สอบผู้ขอใช้สิทธิจากโครงการฯ 4,340 ราย และพบว่า 1. ผู้ขอใช้สิทธิยื่นเอกสารหลักฐานไม่ทันภายในวันที่ 31 ธ.ค.2555 มีจำนวน 1,640 ราย 2. ยื่นเอกสารโดยไม่มีใบจองหรือยื่นเอกสารเพิ่มเติมเกิน 90 วันนับถัดจากวันรับมอบรถยนต์ จำนวน 2 ราย และ 3. ผู้ขอใช้สิทธิยื่นเอกสารหลักฐานเพื่อประกอบคำขอใช้สิทธิไม่ถูกต้อง ไม่ใช่เอกสารของผู้ใช้สิทธิ เช่น อายุไม่ถึง 21 ปี รับรถยนต์ไม่ตรงรุ่น/หมายเลขเครื่องยนต์ เป็นต้นจำนวน 6 ราย ซึ่งเป็นการไม่ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี(ครม.) และแนวทางที่กำหนด และไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,648 ราย และทั้ง 3 กรณีดังกล่าว ผู้ขอใช้สิทธิได้รับสิทธิคืนภาษีไปแล้วทั้งหมด
ดังนั้น สตง. จึงได้มีข้อเสนอแนะให้กรมสรรพสามิตตรวจสอบเอกสารหลักฐานของผู้ได้สิทธิทั้งหมด หากพบว่าไม่ปฏิบัติตามมติ ครม.และแนวทางที่กำหนด และไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ให้ดำเนินการสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติม และหากพบว่าเป็นการกระทำผิดของเจ้าหน้าที่ให้ดำเนินการตามควรแก่กรณี แต่หากเป็นการกระทำผิดของผู้ขอใช้สิทธิให้เรียกเงินคืน
ต่อมากรมสรรพสามิตได้มีหนังสือแจ้งผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะของ สตง. รวมจำนวน 16 ฉบับ โดยหนังสือฉบับล่าสุด ลงวันที่ 4 ส.ค.2560 ชี้แจงว่า กรมสรรพสามิตได้ดำเนินการตรวจสอบเอกสารหลักฐานของผู้ใช้สิทธิที่ได้รับสิทธิคืนเงินตามโครงการฯ ไปแล้วทั้งสิ้น 1,020,162 ราย หรือคิดเป็น 92.5% ของผู้ใช้สิทธิที่ได้รับเงินคืนแล้ว โดยพบว่า มีผู้ขอใช้สิทธิไม่ปฏิบัติตามมติ ครม.และไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด จำนวน 52 ราย ประกอบด้วย 1.ผู้ขอใช้สิทธิยื่นเอกสารเพิ่มเติมเกิน 90 วัน จำนวน 37 ราย และ 2.ผู้ขอใช้สิทธิไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด จำนวน 15 ราย แบ่งเป็นรับมอบรถยนต์ไม่ตรงรุ่น 6 ราย อายุไม่ครบ 21 ปีบริบูรณ์ 1 ราย และยื่นเอกสารก่อนเริ่มโครงการ 8 ราย ซึ่งผลการตรวจสอบดังกล่าวของกรมสรรพสามิตก็ไม่ปรากฏข้อมูลกรณีการยื่นเอกสารหลักฐานไม่ครบภายในวันที่ 31 ธ.ค.2555 ตามที่เป็นข่าวแต่ประการใด ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่กรมสรรพสามิตจะต้องพิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ในกรณีดังกล่าวต่อไป.