DRTมองตลาดวัสดุก่อสร้างฟื้นตัวไตรมาสสุดท้าย
“ผลิตภัณฑ์ตราเพชร” วิเคราะห์ตลาดวัสดุก่อสร้างไตรมาส 3 ชะลอตัวจากช่วงโลว์ซีซั่น ก่อนฟื้นตัวดีขึ้นในไตรมาสสุดท้าย มั่นใจผลการดำเนินงานทั้งปีได้ตามเป้า พร้อมตอกย้ำจุดเด่น DRT เป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ
นายสาธิต สุดบรรทัด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT กล่าวถึงแนวโน้มตลาดวัสดุก่อสร้างในไตรมาส 3 (ก.ค.-ก.ย.63) คาดว่าจะชะลอตัวจากการเข้าสู่นอกฤดูกาลขายสินค้า หรือ ช่วงโลว์ซีซั่น หรือก่อนกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปี โดยมีปัจจัยจากกลุ่มลูกค้าโครงการอสังหาริมทรัพย์ ที่ต้องเร่งปิดการขายบ้านเพื่อผลักดันยอดขาย เช่นเดียวกับช่องทางห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้างสมัยใหม่ (โมเดิร์นเทรด) จะกลับมาคึกคักมากขึ้น จากความต้องการซื้อวัสดุก่อสร้างไปปรับปรุงซ่อมแซมที่อยู่อาศัยในช่วงปลายปี ตลอดจนการทยอยออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยในประเทศเพิ่มขึ้น
ส่วนภาพรวมการดำเนินงานของ DRT ในปี 2563 มั่นใจว่าจะรักษาอัตราการทำกำไรขั้นต้นได้ในระดับ 25-27% และการรักษาอัตราการเดินเครื่องจักรเฉลี่ย 80-90% ของกำลังการผลิตโดยรวม แม้ยอดขายโดยรวมชะลอตัวไปบ้าง เนื่องจากในครึ่งปีแรก DRT ทำผลงานอยู่ในระดับเป็นที่น่าพอใจ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจและตลาดวัสดุก่อสร้างได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (COVID-19)
“ภาพรวมการดำเนินงานครึ่งปีแรกของ DRT ยังเป็นไปตามเป้าหมาย โดยช่องทางเอเย่นต์หรือร้านตัวแทนจำหน่ายวัสดุก่อสร้างรายย่อยเป็นตัวขับเคลื่อน โดยเราปรับกลยุทธ์ขยายตลาดและฐานลูกค้าเพิ่มเติมในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว เพื่อชดเชยกับช่องทางห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้างสมัยและลูกค้าโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ยังไม่ฟื้นตัว จึงมั่นใจว่าจะสามารถผลักดันผลการดำเนินงานได้ดีกว่าภาพรวมอุตสาหกรรม”
นายสาธิต กล่าวว่า บริษัทฯ ยังมุ่งตอกย้ำให้ DRT เป็นหุ้นที่ให้อัตราผลตอบแทนที่ดีจากเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจของประเทศชะลอตัวอย่างรุนแรง และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่อยู่ในระดับต่ำ โดยนับจากเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อปี 2548 ได้จ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจาก DRT มีความแข็งแกร่งด้านกระแสเงินสดจากการดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่ง และเพียงพอต่อการลงทุนเพื่อผลักดันการเติบโตทางธุรกิจ ซึ่งปัจจุบันโครงการขยายกำลังการผลิตเครื่องจักรในสายการผลิตไฟเบอร์ซีเมนต์ NT-11 เพื่อขยายกำลังการผลิตสินค้ากลุ่มไม้สังเคราะห์อีก 5.5 หมื่นตันต่อปี มีความคืบหน้าไปมากแล้ว โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสสุดท้ายปีนี้ และเริ่มเดินเครื่องจักรเชิงพาณิชย์ได้ในต้นปี 2564 ซึ่งจะส่งผลดีต่อการเติบโตของผลการดำเนินงานต่อไป.