‘แสนสิริ’มุ่งมั่น3ปี ขึ้นแท่นผู้นำตลาดแนวราบ
แสนสิริ หวังเบียดแชร์ผู้นำตลาดแนวราบ วางเป้า 3 ปีขึ้นผู้นำตลาด ชูกลยุทธ์ มุ่งพัฒนาโครงการที่มีคุณภาพครอบคลุมทุกดีมานด์ เจาะกลุ่ม New Demand รับไลฟ์สไตล์ Social Distancing สวนกระแสโควิด-19 ปี63 เปิด 12 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 15,200 ล้านบาท
นายอาณัติ กิตติกุลเมธี รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แสนสิริยังคงวางพันธกิจในการเป็นผู้นำตลาดแนวราบใน 3 ปี
โดยเน้นกลยุทธ์ในการสร้างความแข็งแกร่ง ได้แก่ การเดินหน้ามุ่งพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยคุณภาพ ครอบคลุมความต้องการที่หลากหลาย ทั้งการโฟกัสในตลาดกลุ่มใหญ่ที่มีดีมานต์ (Mass Market) ด้วยการพัฒนาโครงการภายใต้แบรนด์ สิริ เพลส อณาสิริ และ สราญสิริ เจาะกลุ่มเรียล ดีมานต์ และคนที่อยากมีบ้านหลังแรก พร้อมรับกลุ่ม New Demand (ความต้องการใหม่) จากกลุ่มลูกค้าที่เข้าเยี่ยมชมโครงการ ที่ต้องการมีบ้านใหม่เพื่อแยกครอบครัว หรือต้องการบ้านที่พื้นที่กว้างขี้น ซึ่งเป็นผลจากไลฟ์สไตล์ในรูปแบบ Social Distancing (เว้นระยะห่างทางสังคม) นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนเปิดตัวบ้านรูปแบบใหม่ รวมทั้งโครงการในแนวคิดใหม่ในปีนี้ เพื่อรองรับดีมานด์และความต้องการที่ตอบโจทย์ insights ของลูกค้าเฉพาะกลุ่มมากขึ้นอีกด้วย
สำหรับ สถานการณ์ภาพรวมตลาดบ้านเดี่ยว ในปี 2562 ที่ผ่านมา มีจำนวนยูนิตเปิดขายในตลาด 21,000 ยูนิต และมีดีมานต์ความต้องการอยู่ที่ 11,800 ยูนิต ซึ่งเห็นได้ว่า Supply มีจำนวนน้อยลง ขณะที่ดีมานด์ยังสูงขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้ Absorption Rate (อัตราการดูดซับ) อยู่ที่ 56% สูงกว่า 3 ปีก่อนหน้า สะท้อนให้เห็นว่ายังมีดีมานต์ความต้องการใน โปรดักส์ ที่สามารถตอบโจทย์และตั้งอยู่ในทำเลที่ลูกค้าต้องการได้ ขณะเดียวกัน ความต้องการบ้านเดี่ยวในระดับราคา ราคา 10-20 ล้านบาท ยังเพิ่มขึ้นสูงสุดในปี 2562 ถึง 7% เมื่อเทียบกับปี 2561 และบ้านเดี่ยวระดับราคา 3-5 ล้านขายดีที่สุด
โดยในแผนทั้งปีจะเปิดใหม่ 12 โครงการแนวราบ มูลค่ารวม 15,200 ล้านบาท ซึ่งในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา บริษัทฯสามารถสร้างยอดขาย11,000 ล้านบาท โดยคิดเป็นยอดจากกลุ่มโครงการแนวราบถึงกว่า 4,800 ล้านบาท หรือ 44% ของยอดขายที่ทำได้ในไตรมาสแรก โดยสามารถปิดการขายโครงการบ้านเดี่ยวในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด มูลค่าโครงการรวม 10,200 ล้านบาท
ดังนั้นในปี 2563 แสนสิริจึงรุกเปิดแบรนด์สิริ เพลส ที่อยู่ในระดับราคา 3-5 ล้านบาท รวมทั้งแบรนด์เศรษฐสิริ บุราสิริ และสราญสิริ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่อยู่อาศัยระดับราคา 10 – 20 ล้านบาท นอกจากนี้ปัจจัยภายนอกที่มีผลต่อตลาดอสังหาฯ ยังมาจากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเหลือ 1% นับเป็นการกระตุ้นการลงทุน ที่ส่งผลบวกต่อตลาดอสังหาฯ.