LPN ชู3 ยุทธศาสตร์เพิ่มประสิทธิภาพการทำกำไรอย่างยั่งยืน
LPN วางยุทธศาสตร์ปี 2563 เป็นปีแห่งการเพิ่มประสิทธิภาพ (Year of Proficiency) ทั้งประสิทธิภาพในการทำกำไร ขยายฐานรายได้จากภาคธุรกิจบริการและเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมเดินหน้าเปิด 10 โครงการ มูลค่า 13,000 ล้านบาท
นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ในปี 2563 เป็นปีที่เรามุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน โดยให้ความสำคัญใน 3 ประเด็นหลัก คือ การเพิ่มประสิทธิภาพในการทำกำไรจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์, ขยายฐานรายได้ประจำ (Recurring Income) จากธุรกิจบริการ ทั้งการบริหารจัดการอาคาร การก่อสร้าง งานที่ปรึกษา วิจัยและพัฒนา และเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทให้ดีขึ้น ถึงแม้ภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้จะยังคงมีแนวโน้มชะลอตัวโดยประมาณว่าจะยังคงติดลบร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับปี 2562 ตามทิศทางของเศรษฐกิจที่คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตที่ 2.5–3%ในปี 2563
โดยการเพิ่มประสิทธิภาพการทำกำไรของบริษัท ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการสินทรัพย์ที่มีอยู่ ให้สามารถสร้างรายได้ได้เพิ่มขึ้น เช่น การนำเอาคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จมาปล่อยเช่า เพื่อสร้างรายได้จากทรัพย์สินที่มีอยู่ รวมทั้งการเร่งการขายและโอนโครงการที่สร้างเสร็จที่มีมูลค่าประมาณ 10,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่มีระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท โดยประมาณว่าจะเร่งระบายสินค้าในกลุ่มนี้ได้ไม่น้อยกว่า 50% ของมูลค่าที่มีอยู่ หรือประมาณ 5,000 ล้านบาท ที่เหลือจะนำยูนิตไปปล่อยเช่า เพื่อสร้างรายได้เข้ามาเสริม
การขยายฐานรายได้ประจำจากธุรกิจบริการ ทั้งการบริหารจัดการอาคาร การก่อสร้าง งานที่ปรึกษา วิจัยและพัฒนาผ่านบริษัทในเครือ พร้อมขยายบริการไปสู่ภายนอก โดยวางเป้าให้ได้ 150 โครงการ จากปัจจุบันมีประมาณ 30 โครงการ คาดว่ารายได้ในส่วนเติบโตไม่น้อยกว่า 20 %ในปี 2563 ปัจจุบันตลาดบริหารจัดการอาคารทั้งอาคารชุดพักอาศัยและสำนักงานมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีมูลค่าตลาดไม่น้อยกว่า 44,000 ล้านบาท ในปี 2562 และมีอัตราการเติบโตไม่น้อยกว่า10 %ต่อปี ซึ่งเป็นโอกาสในการเติบโตของธุรกิจนี้ที่จะสร้างรายได้เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยจะเพิ่มเป็น10 %ของรายได้รวม และสุดท้าย การบริหารสภาพคล่องทางการเงิน บริษัทมีนโยบายในการบริหารสัดส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นในสัดส่วนไม่เกิน 1:1 เพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับบริษัท
สำหรับแผนการลงทุนในปีนี้ วางเป้าซื้อที่ดินไว้ 4,000 ล้านบาท ซึ่งในครึ่งแรกวางเป้าเปิด 10 โครงการมูลค่ารวม 12,000-13,000 ล้านบาท แบ่งเป็นส่วนของแนวราบ 4 โครงการ มูลค่าประมาณ 5,000 ล้านบาท โดยเน้นตลาดบ้านแฝดระดับราคา 5 ล้านบาท เนื่องจากมีช่องทางการตลาดในการขยายฐานลูกค้า และคอนโดมิเนียม 6 โครงการ มูลค่าประมาณ 7,000 – 8,000 ล้านบาท.