“สมคิด” ห่วง ระเบิดลูกใหม่ ถล่มศก.ไทย
สมคิด กระตุ้นเอกชน เร่งลงทุนในประเทศ เพื่อร่วมกัน ประครองเศรษฐกิจ ปลดล็อก ค่าเงินบาท ที่กำลังจะกลายเป็น ระเบิดลูกใหม่ ถล่มเศรษฐกิจของประเทศ
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษในงานเสวนา 2563 ปีแห่งการลงทุน : ทางออกประเทศไทย ว่า ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาได้มีการวางรากฐานให้ประเทศสามารถแข่งขันได้ และลดความเหลื่อมล้ำ เพราะขณะที่มีรัฐบาลใหม่เข้าสู่ช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 62 ต้องเผชิญกับภาวะตึงเครียดทางการค้า และเมื่อเข้าสู่ไตรมาสที่ 4 ต้องเผชิญกับปัญหาสำคัญ หากจะเรียกว่าเป็นระเบิดก็ได้
ระเบิดลูกแรกถือเป็น ระเบิดเหนือน้ำ คือ เรื่องของการส่งออกที่ค่อยชะลอตัวลงจนกระทั่งติดลบ 7.7% ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เป็นผลมาจากสินค้าส่งออกส่วนใหญ่อยู่ในห่วงโซ่การผลิตที่เชื่อมโยงกับจีนและตลาดโลก เมื่อมีปัญหาเศรษฐกิจโลกก็ส่งผลต่อมูลค่าจีดีพีที่มาจากการส่งออกถึง 70%
ระเบิดลูกที่สองเปรียบเป็นระเบิดใต้น้ำ คือเรื่องการขับเคลื่อนโครงการขนาดใหญ่ขับเคลื่อนช้าเกินไป สาเหตุสำคัญมาจากการจัดสรรงบประมาณที่ล่าช้า ส่งผลต่องบลงทุนที่ไม่สามารถขับเคลื่อนได้ ซึ่งไตรมาสที่ 4 ของปี 62 งบทั้งหมดอยู่ที่ 23% ของงบประมาณทั้งหมด ส่วนใหญ่เป็นงบประจำที่จ่ายตามเกณฑ์ และมีงบลงทุนมีเพียง 8% เท่านั้น
นายสมคิด กล่าวว่า ทางสำนักงบประมาณได้ให้สัญญาว่า ในไตรมาส 2 ของปีงบประมาณ 63 จะผลักดันการเบิกจ่ายงบประมาณจาก 23% ไปสู่ 54% เพื่อให้มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในไตรมาสนี้ให้ได้ 1 ล้านล้านบาท และในไตรมาส 3 จะผลักดันงบประมาณจาก 54% ไปสู่ 70% และผลักดันงบประมาณให้ครบ 100% ก่อนเดือนกันยายน
แต่ยังมีระเบิดลูกใหม่ คือ เงินบาทที่แข็งค่า กระทบการส่งออก จึงขอให้นักลงทุนเอกชนลงทุนในประเทศ เพื่อนำเข้าเครื่องจักร อุปกรณ์ เพราะการลงทุนในต่างประเทศ ได้เพิ่มความแข็งค่าเพิ่มขึ้นไปอีก จึงเรียกร้องทุกฝ่ายร่วมกัน
“การลงทุนถือเป็นทางออกประเทศ ที่สามารถช่วยกระตุ้นและประคองเศรษฐกิจได้ หากมีการลงทุนจะส่งผลดี ทำให้เงินบาทไม่แข็งค่าไปกว่านี้ และฝาก คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนเรื่องนี้ เพราะการลงทุนภาคเอกชนยังนิ่งมาก โดยมีการลงทุนเพียง 16% ของจีดีพี”
พร้อมทั้งมอบหมายให้คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) หารือร่วมกับกระทรวงการคลัง เพื่อออกมาตรการที่ส่งเสริมให้ภาคเอกชนรับเปลี่ยนเครื่องจักรและอุปกรณ์ โดยจะมีระยะโครงการ 6 เดือน และติดตั้งเครื่องจักรให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี และ ต้องเดินหน้าการเปิดประมูลระบบ 5G เพื่อรองรับเศรษฐกิจดิจิทัล ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม 2563 เพราะ ระบบ 5G จะเป็นกลไกหลักสำคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคใหม่
นายสมคิด กล่าวว่า สิ่งที่รัฐจะเร่งขับเคลื่อนคือ ภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการ ภาคอุตสาหกรรม Creative Economyการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก การดูแลผู้สูงอายุ รวมไปถึงการขับเคลื่อนด้านการศึกษาและการดูแลด้านสาธารณสุข.