ครม.ไฟเขียว”วาระแห่งชาติ”อุ้ม SMEs ไทย
ครม.ไฟเขียว ประกาศ “วาระแห่งชาติ” อุ้ม SMEs ผ่านมาตรการ “ต่อเติม เสริมทุน SMEs สร้างไทย” พร้อมทุ่มเงินกว่า 4 แสนล้านบาท จาก “แบงก์รัฐ-เอกชน-บสย.” ต่อลมหายใจ หนุนผู้ประกอบการรายเล็กลุยต่อธุรกิจ ท่ามกลางปัจจัยลบเพียบ
ภายหลังคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการ “ต่อเติม เสริมทุน SMEs สร้างไทย” ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ จากนั้น นายลวรณ แสงสนิท ผอ.สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง พร้อมด้วยนายปรีดี ดาวฉาย ปธ.สมาคมธนาคารไทย นายรักษ์ วรกิจโภคาทร กก.และผจก.ทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) และนายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผอ.ธนาคารออมสิน ร่วมกันแถลงถึงมาตรการดังกล่าว เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 7 ม.ค.ที่ผ่านมา ณ กระทรวงการคลัง
นายลวรณกล่าวว่า มาตรการดังกล่าวเกิดขึ้นจากการหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะสมาคมธนาคารไทย (ธนาคารพาณิชย์) และสถาบันการเงินในกำกับดูแลของรัฐ นำมาสู่การวางยุทธศาสตร์ในการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs โดยกำหนดเป็นวาระแห่งชาติ และจะดำเนินการอย่างต่อเนื่องในมิติต่างๆ เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs อยู่รอดปลอดภัย ตั้งแต่การให้ความรู้ การยกระดับทักษะด้านเทคโนโลยี การขยายตลาด รวมถึงการเข้าถึงแหล่งทุน โดยพัฒนาในทุกมิติคู่ขนานกันไป โดยมีรายละเอียดดังนี้
- กลุ่ม SMEs ที่ต้องการสภาพคล่อง ประกอบด้วย 3 โครงการ แบ่งเป็น 1.1 โครงการ บสย. SMEs สร้างไทย โดย บสย. เตรียมวงเงินค้ำประกัน 60,000 ล้านบาท จ่ายค่าชดเชยความเสียหายไม่เกินร้อยละ 40 ของวงเงินค้ำประกัน โดยสามารถค้ำประกันให้กับลูกหนี้ที่มีศักยภาพแต่มีความสามารถในการชำระหนี้ลดลง รวมถึงลูกหนี้ที่เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ลูกหนี้ที่มีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้และได้รับอนุมัติสินเชื่อเพิ่มเติมจากสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อสนับสนุนให้ SMEs ที่มีศักยภาพแต่ขาดสภาพคล่องให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้
1.2 โครงการ Transformation Loan เสริมแกร่ง (Soft Loan เพื่อปรับเปลี่ยนเครื่องจักร ระยะที่ 2) โดยธนาคารออมสิน เตรียมวงเงินโครงการ 15,000 ล้านบาท คิดดอกเบี้ยกับสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการร้อยละ 0.1 ต่อปี และสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการคิดดอกเบี้ยกับ SMEs ร้อยละ 4 ต่อปีระยะเวลากู้สูงสุด 7 ปี โดยเพิ่มเติมคุณสมบัติผู้ขอสินเชื่อให้รวมถึงธุรกิจที่เป็น Supply Chain และธุรกิจอื่นที่นอกเหนือจากกลุ่มธุรกิจ 10 S-Curve และสามารถให้สินเชื่อกับลูกหนี้ที่เป็น NPLs แต่มีการปรับโครงสร้างหนี้แล้ว รวมถึงเพิ่มเติมวัตถุประสงค์การกู้เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนอย่างเดียวได้
1.3 โครงการ GSB SMEs Extra Liquidity โดยธนาคารออมสิน มีวัตถุประสงค์เพื่อผ่อนปรนภาระการจ่ายเงินต้นและเพิ่มสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจ วงเงินโครงการ 50,000 ล้านบาท วงเงินกู้ต่อรายไม่เกิน 50 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นที่อัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้าชั้นดี (MLR) ลบร้อยละ 1 (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MLR ของธนาคารออมสินอยู่ที่ร้อยละ 6.375 ต่อปี) ระยะเวลากู้สูงสุด 6 ปี ปลอดชำระเงินต้น 1 ปี
- กลุ่ม SMEs ที่จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือทันที โดยโครงการ PGS 5 ถึง PGS 7 จะขยายระยะเวลาการค้ำประกันในโครงการ PGS 5 ถึง PGS 7 ออกไปอีก 5 ปี รวมถึงยกเลิกเงื่อนไขที่กำหนดให้ บสย. จ่ายค่าประกันชดเชยเมื่อสถาบันการเงินดำเนินคดีกับ SMEs โดยให้สถาบันการเงินสามารถปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้แก่ SMEs เพื่อให้ SMEs สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้
- กลุ่ม SMEs ที่มีศักยภาพ ปัจจุบันมีมาตรการด้านการเงินเพื่อสนับสนุน SMEs ทั้งโครงการสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนและโครงการค้ำประกันสินเชื่อ สรุปรายละเอียดได้ ดังนี้
3.1 โครงการสนับสนุน SMEs รายย่อย ผ่านกองทุน สสว. โดยธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) เป็นผู้พิจารณาสินเชื่อ วงเงินคงเหลือ 5,000 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อปี ระยะเวลากู้ไม่เกิน 7 ปี ปลอดชำระเงินต้นสูงสุดไม่เกิน 1 ปี โดยให้ สสว. ให้ความสำคัญกับการให้ความช่วยเหลือ SMEs ที่มีศักยภาพแต่ขาดสภาพคล่อง ซึ่งรวมถึงกลุ่มที่เป็น NPLs แต่มีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้แล้วด้วย
3.2 โครงการสินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน (Local Economy Loan) ของ ธพว. วงเงินคงเหลือ 20,000 ล้านบาท โดยปรับปรุงกลุ่มเป้าหมายให้ลูกหนี้ SMEs ที่เป็น NPLs และมีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้แล้วสามารถเข้าโครงการได้
3.3 โครงการสินเชื่อ SME ประชารัฐสร้างไทย ของธนาคารออมสิน โดย ณ วันที่ 16 ธ.ค. 2562 มีวงเงินคงเหลือ 45,000 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปี ใน 2 ปีแรก โดยกำหนดการจ่ายค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อแทน SMEs เป็นระยะเวลา 4 ปี
3.4 โครงการสินเชื่อ กรุงไทย SME ของธนาคารกรุงไทย โดยเพิ่มวงเงินสินเชื่ออีก 10,000 ล้านบาท เป็น 60,000 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นร้อยละ 4 ต่อปี โดยกำหนดการจ่ายค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อแทน SMEs เป็นระยะเวลา 4 ปี
3.5 โครงการ PGS 8 ของ บสย. สำหรับวงเงินค้ำประกันโครงการที่เหลือ บสย. จะจ่ายค่าประกันชดเชยให้กับสถาบันการเงินโดยสถาบันการเงินไม่ต้องดำเนินคดีกับ SMEs ก่อน เพื่อให้สถาบันการเงินช่วยลูกหนี้โดยการปรับปรุงโครงสร้างหนี้แทนการฟ้องดำเนินคดี รวมถึงขยายการค้ำประกันสินเชื่อให้ครอบคลุมถึงธุรกรรมการให้เช่าซื้อ ธุรกรรมการให้เช่าแบบลิสซิ่ง และธุรกรรมแฟ็กเตอริงได้อีกด้วย
3.6 โครงการ Direct Guarantee ของ บสย. วงเงินค้ำประกัน 5,000 ล้านบาท วงเงินค้ำประกันต่อรายไม่เกิน 10 ล้านบาทรวมทุกสถาบันการเงิน โดย บสย. เป็นผู้กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมค้ำประกันตามระดับความเสี่ยงของลูกค้า (Risk Based Pricing) ระยะเวลาค้ำประกันไม่เกิน 10 ปี
นอกจากนี้ ยังจะมีมาตรการอื่นๆ กล่าวคือ 4.1 ธนาคารแห่งประเทศไทยจะพิจารณาแนวทางการกันสำรองที่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ในลักษณะเชิงป้องกันไม่ให้เป็น NPLs และกรณีปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้กับลูกหนี้ที่เป็น NPLs และมีการอนุมัติสินเชื่อเพิ่มเติม ทั้งของสถาบันการเงินและสถาบันการเงินเฉพาะกิจ
4.2 สมาคมธนาคารไทยโดยความร่วมมือของธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งจะกำหนดเป้าหมายในการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีปัญหาในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ รวมถึงพิจารณาขยายระยะเวลาการชำระหนี้และลดดอกเบี้ย เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้
4.3 มาตรการภาษีอากรและค่าธรรมเนียม ระหว่างวันที่ 1 ม.ค. 2563 ถึง 31 ธ.ค. 2564 โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 1) ยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่ลูกหนี้ สำหรับเงินได้ที่ได้รับจากการปลดหนี้ของเจ้าหนี้ ได้แก่ ธุรกิจบัตรเครดิต ธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ และธุรกิจสินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพ 2) ยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ สำหรับการโอน หรือขายทรัพย์สิน การให้บริการ และการกระทำตราสาร เพื่อชำระหนี้ อันเนื่องมาจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้
3) ยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ สำหรับการขายอสังหาริมทรัพย์ที่จำนองเป็นประกันหนี้กับสถาบันการเงินให้แก่ผู้อื่น เพื่อนำเงินไปชำระหนี้แก่สถาบันการเงิน (เฉพาะส่วนที่ไม่เกินกว่าหนี้ที่ค้างชำระ) 4) ยกเว้นการดำเนินการตามหลักเกณฑ์การจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ที่กรมสรรพากรกำหนด สำหรับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ และ 5) ลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการโอนและการจำนองอสังหาริมทรัพย์และห้องชุดจากร้อยละ 2 เหลือร้อยละ 0.01 สำหรับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้
“กระทรวงการคลังมั่นใจว่ามาตรการต่อเติม เสริมทุน SMEs สร้างไทย และความร่วมมือที่ดี จากสมาคมธนาคารไทยจะช่วยสนับสนุนและบรรเทาความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นต่อ SMEs เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและสนับสนุนการขยายตัวของการลงทุนภาคเอกชนโดยเฉพาะ SMEs ต่อไป” โฆษกกระทรวงการคลัง ย้ำ
นายปรีดี ดาวฉาย ปธ.สมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า สมาคมฯและธนาคารพาณิชย์ยินดีให้ความร่วมกับรัฐบาล เนื่องจาก SMEs เกี่ยวพันกับภาพรวมเศรษฐกิจในหลายมิติ โดยมียอดขายราว 40% ของจีดีพี มีจำนวนบริษัท/ธุรกิจรวมกันเกือบ 99% และมีบุคลากรจากการจ้างงานราว 14 ล้านคน หรือราว 80-85% ของการจ้างงานทั้งระบบ ดังนั้น การประกาศให้ความช่วยเหลือ SMEs เป็นวาระแห่งชาติ จึงเป็นเรื่องที่ภาคเอกชนจะต้องให้ความร่วมมือ
ทั้งนี้ การที่ บสย.เพิ่มวงเงินค้ำประกันจากเดิม 30% เป็น 40% จะยิ่งสร้างความเชื่อมั่นในการปล่อยสินเชื่อให้กับธนาคารพาณิชย์มากขึ้น โดยหาก บสย.เตรียมวงเงินค้ำประกันสินเชื่อไว้จำนวน 60,000 ล้านบาท นั่นก็หมายความว่า ธนาคารพาณิชย์จะต้องปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการ SMEs ไม่ต่ำกว่า 100,000 ล้านบาทอย่างแน่นอน
ด้านนายรักษ์ วรกิจโภคาทร กก.และผจก.ทั่วไป บสย. กล่าวว่า ความร่วมมือของธนาคารพาณิชย์และธนาคารของรัฐในการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบในครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มเงินในกระเป๋าให้กับ SMEs นอกจากนี้ การที่ บสย.เพิ่มวงเงินค้ำประกันสินเชื่อเป็น 40% เสมือนเป็นสร้างเกราะให้ผู้ประกอบการกลุ่มนี้ สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างเข้มแข็ง
ขณะที่ นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผอ.ธนาคารออมสิน ย้ำว่า นอกจากการสร้างเครื่องมือทางการเงิน เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs ได้เข้าถึงแหล่งทุนแล้ว ธนาคารฯยังจะเข้ามาช่วยเหลือในการส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจ รวมถึงตัวสินค้าและบริการ ควบคู่ไปกับการให้ความรู้ และหาตลาดใหม่ๆ โดยเฉพาะการค้าออนไลน์ ซึ่งจะทำให้ SMEs มีศักยภาพในการแข่งขันที่สูงขึ้น โดยจะดำเนินการอย่างต่อเนื่องนับจากนี้
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า หากนำเม็ดเงินที่ บสย. ธนาคารของรัฐ และธนาคารพาณิชย์ นำมาช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการ SMEs ตามมาตรการข้างต้นแล้ว จะมีเม็ดเงินรวมกันกว่า 4 แสนล้านบาท ซึ่งจะช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่ประสบปัญหาจากทั้ง 3 กลุ่มข้างต้น มากกว่า 1 แสนราย จากทั้งหมดที่มีกว่า 3 ล้านราย โดยที่ผู้ประกอบการ SMEs ส่วนใหญ่ยังไม่ประสบปัญหาเหมือน 3 กลุ่มก่อนหน้านี้.