ลุ้นโชคคลังแจกเงินสด 1 ล้าน
คลังเริ่มแล้ว แจงเงินรางวัล 1 ล้านบาท เพื่อจูงใจให้ประชาชนให้บัตรเดดิต (บัตรเงินสด) เพื่อชำระเงินแทนเงินสด เพื่อกระตุ้นโครงการ National e-Payment หลังจากพร้อมเพย์ ประสบความสำเร็จอย่างดี
“โครงการนี้ เริ่มแล้ว ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยรอบการใช้บัตรเดบิตในเดือนพ.ค.นี้ จะนำมาจับเงินรางวัลในวันที่ 10 มิ.ย.และประกาศให้ทราบในวันที่ 16 มิ.ย. หรือจับสลากเดือนละ 1 ครั้ง จบครบ 1 ปี หรือ 12 เดือน” นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง แถลงข่าวเปิดตัวโครงการแจกโชคจากการใช้บัตรเดบิต เมื่อวันที่ 2 พ.ค.2560 พร้อมกับผู้บริหารระดับสูงของสถานบันการเงิน
นายสมชัย กล่าวว่า กระทรวงการคลังจะประกาศผลการจับรางวัลผู้โชคดีจากการใช้บัตรเดบิตแทนเงินสดโดยประชาชนที่ใช้บัตรเดบิตมีสิทธิ์ถูกรางวัลที่ 1 รับเงินรางวัลจำนวน 1 ล้านบาทเช่น เดียวกับร้านค้าที่เข้าร่วมรายการก็มีสิทธิ์ลุ้นถูกรางวัลที่ 1 รับเงินรางวัล 1 ล้าน โดยประชาชนที่ใช้บัตรเดบิต และร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการไม่ต้องส่งใบเสร็จเพื่อเข้าร่วมชิงโชคแต่อย่างใด เพราะทุกครั้งที่มีการจ่ายเงินผ่านบัตรเดบิตและเครื่องรับชำระเงินอัตโนมัติ (อีซีดี) ระบบคอมพิวเตอร์จะประมวล ผลและส่งรายละเอียดมายังศูนย์ข้อมูลเพื่อสุ่มจับรางวัลทุกเดือนจนครบ 1 ปี (เดือนมิ.ย.60-พ.ค.61) มูลค่ารวม 84 ล้านบาท โดยจะมีการประกาศรางวัลครั้งสุดท้ายในเดือนเม.ย.2561
สำหรับผู้มีสิทธิได้รับรางวัล ได้ แก่ ประชาชนที่ใช้บัตรเดบิตของสถาบันการเงินไทยชำระค่าสินค้าและบริการในประเทศ ไม่นับรวม e-Commerce การโอนเงิน ร้านค้าที่มีรายได้ไม่เกินกว่า 500 ล้านบาทต่อปี หน่วยงานภาครัฐ ละรัฐวิสาหกิจที่มีเครื่องอีดีซี สำหรับการแจกโชคทุกเดือนเป็นระยะเวลา 1 ปี โดยในแต่ละเดือนผู้ใช้บัตรเดบิตจะมีรางวัลสูงสุด 1 ล้านบาท 1 รางวัล และรางวัลอื่นๆ ลดหลั่นกันลงมาตั้งแต่ รางวัลที่ 2 มีจำนวน 10 รางวัลมูลค่ารางวัลละ 100,000 บาท ไปจนถึงรางวัลสุดทท้ายรางวัลที่ 7 มี 450 รางวัล รางวัลละ 2,000 บาท ส่วนของร้านค้าจะมีรางวัลสูงสุด 1 ล้านบาท จำนวน 1 รางวัล และมีรางวัลย่อยรางวัลละ 30,000 บาท อีก 5-30 รางวัลต่อเดือน
นายสมชัย กล่าวว่า โครงการดังกล่าว เป็นการต่อยอดจากระบบการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National e-Payment) ซึ่งเป็นโครงการลดการใช้เงินสดรวมถึงลดการทุจริตได้อีกด้วย ซึ่งปัจจุบันมีประชาชนที่ถือบัตรเอทีเอ็ม 54-55 ใบ ซึ่งในจำนวนนี้ เป็นทั้งบัตรเอทีเอ็มและยังเป็นบัตรเดบิตในใบเดียวกัน 60-70% แต่ในจำนวนมีเพียง 10% ที่ใช้ในการชำระค่าสินค้าและบริการ
ทั้งนี้ ในปัจจุบันสถาบันการเงินมีเครื่องอีดีซี เพื่อรองรับการชำระเงินประมาณ 65,000 เครื่อง โดยกระทรวงการคลังมีเป้าหมายที่จะเพิ่มเครื่องอีซีดีเพิ่มขึ้นเป็น 560,000 เครื่องภายในระยะเวลา 1 ปี ทั้งนี้ ระบบการชำระเงินผ่าน วีซ่า หรือมาร์เตอร์การ์ด และอื่นๆ ร้านค้าจะเสียค่าใช้จ่ายไม่น้อยกว่า 3% ต่อ 1 รายการ ขณะที่ระบบใหม่ ซึ่งถือเป็นการชำระเงินของสถาบันการเงินภายในประเทศ ร้านค่าจะเสียค่าธรรมเนียมเพียง 0.55% ต่อรายการสินค้า