สศค.ชี้เงินสินเชื่อ “พิโก้” 3 ปีพุ่ง 3.7 พันล้าน
สศค. เผยยอดนายทุนยื่นขอทำธุรกิจสินเชื่อพิโก้ไฟแนนซ์ ช่วง “ธ.ค.59 – ต.ค.62” พุ่งกว่า 1,200 ราย กระจายทั่วประเทศ ยังเหลือคอพิจารณาอีก 1,106 ราย รวมวงเงินปล่อยสินเชื่อสะสม ณ สิ้น ก.ย.62 เฉียด 3,700 ล้านบาท จากผู้กู้ 1.38 แสนบัญชี ระบุ มียอดสินเชื่อคงค้างรวม 6.43 หมื่นบัญชี วงเงิน 1,755 ล้านบาท ด้านเอ็นพีแอลที่มียอดค้างจ่ายเกิน 3 ด. มีแค่ 10.89% วงเงิน 190 ล้านบาทเศษ ส่วนปมแก้หนี้นอกระบบ คลังประสาน สตช.เร่งปราบจนลากขึ้นเขียงแล้วกว่า 5,000 ราย
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน ในฐานะโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า ในเดือน ต.ค.62 สศค.ได้ดำเนินการปรับปรุงประกาศสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เรื่อง การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้ การกำกับ (ฉบับที่ 2) ลงวันที่ 1 ต.ค.62 ในส่วนของรูปแบบการเขียนแผนการดำเนินธุรกิจเพื่อช่วยลดข้อผิดพลาดในการจัดทำเอกสารประกอบการยื่นคำขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ให้กับผู้ประกอบธุรกิจ โดยแผนการดำเนินธุรกิจรูปแบบใหม่ เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 ต.ค.62 เป็นต้นมา
อย่างไรก็ดี จำนวนผู้สนใจยื่นคำขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) ทั้งประเภท “พิโกไฟแนนซ์” (มีทุนจดทะเบียนชำระแล้วไม่ต่ำกว่า 5 ล้านบาท ให้สินเชื่อแก่ประชาชนได้ไม่เกิน 50,000 บาทต่อราย และเรียกเก็บดอกเบี้ย กำไรจากการให้สินเชื่อ ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมอื่นใด รวมกันได้ไม่เกินร้อยละ 36 ต่อปี (Effective Rate)) และประเภท “พิโกพลัส” (ทุนจดทะเบียนชำระแล้วไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท ให้สินเชื่อแก่ประชาชนได้ไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย และเรียกเก็บดอกเบี้ย กำไรจากการให้สินเชื่อ ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมอื่นใด รวมกันได้ไม่เกินร้อยละ 36 ต่อปี (Effective Rate) สำหรับวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 50,000 บาทแรก และสำหรับวงเงินสินเชื่อที่เกินกว่า 50,000 บาทเป็นต้นไป ให้เรียกเก็บได้ไม่เกินร้อยละ28 ต่อปี (Effective Rate) ในเดือนต.ค.62 ยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้านี้
เนื่องจากผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ทั้ง 2 ประเภท สามารถให้บริการสินเชื่อโดยรับสมุดคู่มือทะเบียนรถยนต์ รถจักรยานยนต์ หรือรถเพื่อการเกษตรเป็นประกัน หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า “สินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน” หรือ “สินเชื่อจำนำทะเบียนรถ” ได้ด้วย
สำหรับสินเชื่อ “พิโกไฟแนนซ์” นับตั้งแต่เดือน ธ.ค.59 – 31 ต.ค.62 พบว่ามีนิติบุคคลยื่นคำขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อทั้ง 2 ประเภท รวม 1,231 ราย ใน 76 จ. โดยจังหวัดที่มีผู้ยื่นคำขออนุญาตมากที่สุด 3 ลำดับแรก ได้แก่ นครราชสีมา (110 ราย) กรุงเทพฯ (95 ราย) และขอนแก่น (64 ราย) อย่างไรก็ดี ช่วงระยะเวลาดังกล่าวมีนิติบุคคลที่คืนคำขออนุญาตรวม 126 ราย ใน 51 จ. จึงคงเหลือนิติบุคคลที่ยื่นคำขออนุญาตสุทธิอีก 1,106 ราย ใน 75 จ. และมีผู้ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ทั้ง 2 ประเภท 712 ราย ใน 72 จ. ซึ่งผู้ประกอบธุรกิจได้แจ้งเปิดดำเนินการแล้ว 617 ราย ใน 68 จ. และได้ปล่อยสินเชื่อแล้ว 566 ราย ใน 68 จ. แบ่งเป็น
(1) สินเชื่อประเภท “พิโกไฟแนนซ์” มีผู้ยื่นคำขออนุญาตสุทธิ 997 ราย ใน 76 จ. โดยมีผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจ “พิโกไฟแนนซ์” แล้ว 701 ราย ใน 72 จ. และมีผู้เปิดดำเนินการแล้ว 606 รายใน 68 จ.
(2) สินเชื่อประเภท “พิโกพลัส” มีผู้ยื่นคำขออนุญาตสุทธิ 109 ราย ใน 43 จ. ประกอบด้วยนิติบุคคลที่เป็นผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภท “พิโกไฟแนนซ์เดิม” ซึ่งได้รับใบอนุญาตและเปิดดำเนินการแล้ว มายื่นขอเปลี่ยนใบอนุญาตเป็น “พิโกพลัส” 70 ราย ใน 35 จ. และเป็นนิติบุคคลที่ยื่นคำขอใหม่ 39 ราย ใน 8 จ. โดยมีผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อ “พิโกพลัส” แล้ว 11 ราย ใน 6 จ. และมีผู้เปิดดำเนินการแล้ว 11 ราย ใน 6 จ.
(3) ยอดสินเชื่ออนุมัติสะสมและยอดสินเชื่อคงค้างสะสม
(3.1) ณ สิ้นเดือน ก.ย.62 มียอดสินเชื่ออนุมัติสะสม 138,479 บัญชี รวมเงิน 3,679.73 ล้านบาท หรือคิดเป็นวงเงินสินเชื่ออนุมัติเฉลี่ย 26,572.47 บาทต่อบัญชี ประกอบด้วย สินเชื่อแบบ “มีหลักประกัน” 68,199 บัญชี 2,011.74 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 55 ของจำนวนยอดสินเชื่ออนุมัติสะสม และสินเชื่อแบบ “ไม่มีหลักประกัน” 70,280 บัญชี 1,667.99 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 45 ของจำนวนยอดสินเชื่ออนุมัติสะสม
(3.2) ณ สิ้นเดือน ก.ย.62 มียอดสินเชื่อคงค้างสะสมรวม 64,336 บัญชี คิดเป็นเงิน 1,755.29 ล้านบาท โดยมีสินเชื่อคงค้างชำระ 1 – 3 เดือน สะสมรวม 7,719 บัญชี หรือคิดเป็นเงิน 230.50 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 13.13 ของยอดสินเชื่อคงค้างสะสม และมีสินเชื่อคงค้างชำระที่เกินกว่า 3 เดือน (NPL) สะสมรวม 6,818 บัญชี หรือคิดเป็นเงิน 191.22 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 10.89 ของยอดสินเชื่อคงค้างสะสม
สำหรับสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน นับตั้งแต่เดือน มี.ค.60 ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้อนุมัติสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉินสำหรับเป็นทางเลือกให้กับประชาชนในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ ทดแทนหนี้นอกระบบรายละไม่เกิน 50,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.85 ต่อเดือน โดยได้เร่งกระจายความช่วยเหลือด้านสินเชื่อดังกล่าวแก่ประชาชนในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ
ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือน ต.ค.62 มีการอนุมัติสินเชื่อสะสมรวม 622,780 ราย เป็นเงิน 27,361.33 ล้านบาท จำแนกเป็นสินเชื่อที่อนุมัติแก่ประชาชนทั่วไป 577,099 ราย เป็นเงิน 25,391.23 ล้านบาท และสินเชื่อที่อนุมัติให้กับผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้นอกระบบในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 60 จำนวน 45,681 ราย เป็นเงิน 1,970.10 ล้านบาท
ส่วนการดำเนินการอย่างจริงจังกับเจ้าหนี้นอกระบบที่กระทำผิดกฎหมายนั้น “โฆษก สศค.” กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ยังคงกวดขันจับกุมผู้ปล่อยเงินกู้นอกระบบและผู้ติดตามทวงถามหนี้โดยวิธีการผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่อง โดยผลการดำเนินการจับกุมผู้กระทำผิดสะสม นับตั้งแต่เดือน ต.ค.59 เป็นต้นมา จนถึงสิ้นเดือน ต.ค.62 มีทั้งสิ้น 5,309 คน
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังยังคงดำเนินการร่วมกับหน่วยงานภาคีแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่องใน 5 มิติ ได้แก่ (1) ดำเนินการจริงจังกับเจ้าหนี้นอกระบบที่ผิดกฎหมาย (2) เพิ่มช่องทางการเข้าถึงสินเชื่อในระบบ (3) ลดภาระหนี้นอกระบบโดยการไกล่เกลี่ย (4) เพิ่มศักยภาพลูกหนี้นอกระบบ
และ (5) สนับสนุนการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบโดยองค์กรการเงินชุมชน ซึ่งประชาชนสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารและรายชื่อผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ที่เปิดดำเนินการได้ทางเว็บไซต์ www.1359.go.th
ทั้งนี้ สามารถร้องเรียนหรือแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับเงินกู้นอกระบบที่ผิดกฎหมายได้โดยตรงที่• สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สายด่วน 1599 • ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์การกู้ยืมเงินโดยสัญญาที่ไม่เป็นธรรมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สายด่วน 1155 • ศูนย์ดำรงธรรม สายด่วน 1567 • ศูนย์รับแจ้งการเงินนอกระบบ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สายด่วน 1359 • ศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้และประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม กระทรวงยุติธรรม (ศนธ.ยธ.) โทร 0 2575 3344.