“แคปปิตอล วัน” ควัก 100 ล้านปั้นแบรนด์โกอินเตอร์
“แคปปิตอล วัน” ยกระดับแบรนด์สู่อินเตอร์ ควักกระเป๋า 100 ล้านเซ็นสัญญา KW บิ๊กอสังหาฯ สหรัฐฯผุด “KW Thailand” รองรับตลาด Re-sales โชว์โมเดล5ปีดันยอดขายแบบก้าวกระโดด แย้มไต๋ปีแรกปักหมุด5สาขาในหัวเมืองใหญ่ พร้อมเครือข่าย1,000คน กวาดรายได้ 5,000 ล้านบาท
นายวิทย์ กุลธนวิภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แคปปิตอล วัน เรียลเอสเตท จำกัด กล่าวถึงการรุกธุรกิจครั้งสำคัญของบริษัทฯว่า บริษัทแคปปิตอล วัน วางแผนในการขยายให้บริการลูกค้า รวมทั้งต่อยอดการเป็นบริษัทตัวแทนอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำในประเทศไทย ให้มีเครือข่ายไปทั่วโลก โดยล่าสุด บริษัทฯได้ร่วมลงนามสัญญากับบริษัท Keller Williams หรือ (KW) ซึ่งถูกจัดอันดับให้เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ จัดตั้งบริษัทในประเทศไทยเป็นแห่งแรก ภายใต้ชื่อบริษัท KW Thailand มูลค่าความร่วมมือตามแผนระยะยาว 20 ปี ผ่านการสร้างมูลค่าเพิ่มไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท
“ปัจจุบันตลาดอสังหาริมทรัพย์มีการเปลี่ยนแปลงไป เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญ เครือข่าย หรือที่เรารู้จักกันในด้านเน็ตเวิร์คได้เปลี่ยนแปลงเช่นกัน เราจะเห็นว่า การทำตลาดยากขึ้น แต่เราต้องปรับตัวโดยดิสรัปชั่นมาร์เก็ตให้ได้”
สำหรับแผนของความร่วมมือครั้งสำคัญในประเทศไทยนั้น ถูกกำหนดให้บริษัทใหม่ KW Thailand ในการขยายเครือข่ายให้ครอบคลุมทั่วประเทศไทย ตามแผน 5 ปี (2563-2567) วางเป้าหมายที่จะมีเครือข่ายและมีมูลค่าการขายที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยในเบื้องต้นหลังจากเปิดตัวบริษัทฯในไตรมาสแรกของปี 2563 ตั้งเป้าเปิด 5 สาขาในจังหวัดสำคัญทางเศรษฐกิจ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร มี 2 สาขา , จังหวัดเชียงใหม่ , พัทยา , ภูเก็ต อย่างละ 1 สาขา พร้อมสร้างเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายในปีแรก ทั้งหมด 1,000 คน เพื่อสนับสนุนในด้านการขาย โดยมีการคัดทรัพย์บ้านมือสองบนทำเลที่มีศักยภาพ นำเสนอให้กับลูกค้าผ่านตัวแทนจำหน่าย คาดจะมียอดขายในส่วนของบริษัทใหม่ KW Thailand ไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท
โดย Keller Williams Realty Inc. เป็นบริษัทตัวแทนขายที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก มีจำนวนตัวแทนขายทั้งหมดมากกว่า 180,000 คนทั่วโลก และมียอดขายในปี 2561 (2018) มากกว่า 9 ล้านล้านบาท
นายวิทย์ กล่าวถึงแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2563 ว่า ยังคงอยู่ในระดับชะลอตัว เนื่องจากผลกระทบของค่าเงินบาทมีผลต่อการส่งออกของไทย ทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้น้อยลง แต่คาดว่าผู้บริโภคส่วนหนึ่งจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการจ่ายเงินดาวน์ โดยจะต้องมีการเตรียมพร้อมเรื่องการเงินมากขึ้น ทำให้สถานการณ์ที่มีผลจากมาตรการ LTV จะเริ่มดีขึ้นกว่าปีนี้.