แนะส่งออกฯ หาตลาดใหม่-รุกอุตฯ เพื่ออนาคต
EXIM BANK ชี้ผู้ส่งออกไทยต้องบุกตลาดใหม่ ควบคู่ขยายการลงทุนพัฒนาอุตสาหกรรมเพื่ออนาคต เพื่อลดผลกระทบจากสงครามการค้าและแข่งขันได้ในโลกยุคใหม่
EXIM BANK ชี้มูลค่าส่งออกโลกหดตัวในรอบ 3 ปี โดย 6 เดือนแรกของปีนี้ การส่งออกของโลกลดลง 2.8% หรือ 268,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่การส่งออกของไทยหดตัว 2.9% หรือ 3,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ทำให้ประเทศคู่ค้าของไทยซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในเอเชียและยุโรปส่งออกหดตัว ประกอบกับเศรษฐกิจภายในประเทศชะลอตัว ผู้ส่งออกไทยจึงควรต้องเร่งกระจายตลาดส่งออกไปยังประเทศหรือภูมิภาคใหม่ๆ ที่เศรษฐกิจกำลังขยายตัวและพึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐฯ และจีนไม่มากนัก รวมทั้งวางแผนระยะยาวเพื่อลงทุนในอุตสาหกรรมเพื่ออนาคต ทำให้สินค้าและบริการของไทยมีมูลค่าเพิ่มและแข่งขันได้ โดยไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าที่ยืดเยื้อหรือมาตรการทางการค้ารูปแบบใหม่ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในระยะถัดไป
นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กก.ผจก. ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (โสน.) หรือ EXIM BANK กล่าวถึงปัญหาสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนที่ยังยืดเยื้อว่า มีส่วนทำให้มูลค่าส่งออกของโลกช่วงครึ่งปีแรก หดตัวครั้งแรกในรอบ 3 ปี โดยข้อมูลล่าสุดจากองค์การการค้าโลก (WTO) ระบุไว้คือ การส่งออกรวมของทั้งโลก 6 เดือนแรกของปี 62 หดตัว 2.8% หรือมูลค่าส่งออกลดลงราว 268,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 0.3% ของ GDP โลก ขณะที่ประเทศไทย ซึ่งพึ่งพาการส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ และจีนเป็นสัดส่วน 11% และ 12% ตามลำดับ ได้รับผลกระทบจากการส่งออกหดตัว 2.9% หรือส่งออกลดลงกว่า 3,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงครึ่งแรกของปีนี้
อย่างไรก็ตาม แม้จะได้อานิสงส์จากการที่สหรัฐฯ นำเข้าสินค้าบางรายการจากไทยทดแทนสินค้าจีนที่มีราคาแพงขึ้นจากภาษี ทำให้การส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ ในครึ่งแรกปี 2562 ขยายตัวถึง 17% แต่เศรษฐกิจไทยโดยรวม ซึ่งพึ่งพาการส่งออกสินค้ากว่า 55% ของ GDP ก็ได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากประเทศคู่ค้าของไทยส่วนใหญ่ หรือราว 80% ของมูลค่าส่งออกรวมของไทย ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าครั้งนี้เช่นกัน
กก.ผจก. EXIM BANK กล่าวอีกว่า ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าไม่รุนแรงเท่ากับอีกหลายประเทศที่ต้องพึ่งพาการส่งออกสินค้าที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) เดียวกับจีนเป็นสัดส่วนที่สูง นอกจากนี้ ประเทศที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯมากกว่าจีน ได้รับผลกระทบน้อยกว่า เช่น เม็กซิโก แคนาดา เวียดนาม อินเดีย และฟิลิปปินส์ ส่วนประเทศที่พึ่งพาตลาดจีนมาก เช่น เกาหลีใต้ส่งออกไปจีนสูงถึง 27% ต้องประสบกับการส่งออกหดตัวถึง 8.6% หรือส่งออกได้ลดลงกว่า 25,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทางออกในระยะสั้นของผู้ประกอบการไทยจึงได้แก่ การเร่งกระจายตลาดส่งออกไปยังตลาดใหม่ๆ ในเอเชีย แอฟริกา อเมริกากลาง และลาตินอเมริกา โดยเฉพาะ CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) ซึ่งกำลังซื้อยังเพิ่มขึ้นตามเศรษฐกิจที่ขยายตัวในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง
โดยในระยะยาว ผู้ประกอบการไทยต้องปรับตัวไปลงทุนในโครงการใหม่ๆ ที่รองรับการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมเพื่ออนาคต เช่น ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) หรือกิจการที่ใช้นวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยแข่งขันได้ในตลาดการค้าโลกในอนาคตข้างหน้า สามารถอยู่รอดและขยายธุรกิจได้โดยไม่ได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ไม่ว่าจะเป็นสงครามการค้ายืดเยื้อหรือมาตรการทางการค้ารูปแบบใหม่ที่อาจเกิดขึ้นในระยะถัดไป ทั้งนี้ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายหรือ S-curve ที่รัฐบาลส่งเสริมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่ออนาคต อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ การแปรรูปอาหาร หุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรม เป็นต้น
“สงครามการค้าที่เกิดขึ้นเป็นเพียงตัวอย่างของความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศที่อาจส่งผลกระทบต่อประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศไทย ทางรอดของผู้ประกอบการไทยได้แก่ การพัฒนาการผลิตและการตลาดที่มองไปสู่อนาคต เริ่มต้นจากการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิต นวัตกรรม และเพิ่มมูลค่าของสินค้าและบริการให้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ในปัจจุบันและอนาคต ไม่หยุดแสวงหาและสร้างโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจแม้ในตลาดใหม่ที่ไม่คุ้นเคย โดย EXIM BANK พร้อมทำงานร่วมกับภาครัฐและเอกชน เพื่อสร้างโอกาสใหม่ๆ ทางการค้าและการลงทุนให้แก่ผู้ประกอบการไทยที่พร้อมแข่งขันในธุรกิจระหว่างประเทศ” นายพิศิษฐ์ ระบุ.