คลังหนุนภาคีออมเงินรับไทยสู่สังคมสูงอายุ
กอช. จัดงานวันออมแห่งชาติ ฉลองความสำเร็จสมาชิกทะยานสู่ 2.2 ล้าน ร่วมกับภาคีเครือข่าย พร้อมตั้งเป้าปี 63 รุกหนักสถานศึกษาทั่วประเทศ สร้างต้นกล้าการออม ด้าน “อุตตม” หนุนสร้างระบบการออมรับมือไทยเข้าสู่สังคมสูงอายุระดับสมบูรณ์ในปี 64
นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง กล่าวถึงสถานการณ์ที่ประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงอายุ ตั้งแต่ปี 48 และกำลังจะก้าวเข้าสู่การเป็นสังคมสูงอายุระดับสมบูรณ์ในปี 64 ว่า จะทำให้ประเทศไทยกลายเป็นสังคมที่มีผู้สูงอายุมากกว่าร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด โดยคาดการณ์ว่าในปี 74 ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุระดับสุดยอด คือ มีผู้สูงอายุมากกว่าร้อยละ 28 ของประชากรทั้งหมด
โดยแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561– 2580) ยุทธศาสตร์ที่ 4 ในด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคมนั้น ได้เน้นเรื่องการรองรับสังคมสูงวัยอย่างมีคุณภาพ โดยเตรียมความพร้อมในทุกมิติ ทั้งมิติเศรษฐกิจ สังคม สุขภาพ และสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะการส่งเสริมการออม และการลงทุนระยะยาวของประชาชนตั้งแต่ก่อนเกษียณอายุ เพื่อสร้างหลักประกันและความมั่นคง ในการดำรงชีวิตหลังเกษียณในระดับพื้นฐาน ซึ่งปัจจุบัน ภาครัฐมีนโยบายเตรียมความพร้อมเข้าสู่สังคมสูงอายุ เพื่อให้ประชาชนเข้าสู่วัยเกษียณอย่างมีคุณภาพ มีรายได้และชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี ด้วยระบบการออมเงิน เพื่อการเกษียณอายุในรูปแบบการออมภาคบังคับ และภาคสมัครใจ
โดยในปี 62 กอช. ได้มุ่งพัฒนาความยั่งยืนระดับประเทศผ่านการสร้างวินัยการออมของประชาชน อันเป็นปัจจัยของความสําเร็จ และเป็นรากฐานของการพัฒนาประเทศ และสร้างหลักประกันเงินออมไว้ใช้ในยามเกษียณรายเดือนหลังอายุ 60 ปี โดยผนึกกำลังกับหน่วยงานเครือข่ายความร่วมมือทั่วประเทศในการลงพื้นที่ประชาสัมพันธ์ และรับสมัครสมาชิก ทั้งในเขตชุมชนเมือง และชุมชนส่วนภูมิภาค โดยมีเป้าหมายให้ประชาชนไทยที่มีอายุระหว่าง 15 – 60 ปี เป็นแรงงานนอกระบบ และยังไม่มีสวัสดิการอื่นใดรองรับ สามารถมีบำเหน็จบำนาญใช้ในยามเกษียณเหมือนกับข้าราชการและแรงงานในระบบ จากเงินออมสะสมของตนเอง และเงินที่รัฐสมทบเพิ่มอีกส่วนหนึ่ง เพียงออมขั้นต่ำ 50 บาท สูงสุด 13,200 บาทต่อปี ได้เข้าถึงสิทธิในการออมเพิ่มมากขึ้น ตามบริบทของชีวิต คือ มีมากออมมาก มีน้อยออมน้อย มีเมื่อไหร่ก็ออมได้ สิทธิการเป็นสมาชิกยังคงอยู่ ซึ่งปัจจุบัน กอช. มีสมาชิกเพิ่มขึ้นจากปี 61 จากจำนวนสมาชิก 610,683 คน เป็น 2,215,524 คน เพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 263 ณ วันที่ 30 ก.ย.62
“เนื่องในวันนี้ 31 ต.ค.62 เป็น “วันออมแห่งชาติ” ซึ่งการสร้างเสริมวินัยการออมให้กับประชาชน ถือเป็นหนึ่งในเรื่องหลักที่รัฐบาลให้ความสำคัญ จากการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 ก.ย.ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรี กำชับให้ทุกหน่วยงานร่วมมือกัน เพื่อผลักดันให้ กอช. เป็นวาระแห่งชาติ เนื่องจากภารกิจหลักของ กอช. คือการส่งเสริม และสร้างวินัยการออมให้กับประชาชนทุกคนที่ประกอบอาชีพอิสระ เข้าสู่การออมเงินเพื่อการเกษียณอย่างเป็นระบบกับ กอช. ซึ่งเป็นการสร้างสวัสดิการที่จำเป็นให้กับประชาชนได้มีเงินไว้ใช้ เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี และก้าวสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างมีคุณภาพ” รมว.คลัง ะบุ
ด้าน นางปานทิพย์ ศรีพิมล รองปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า กอช. มีจุดมุ่งหมายสำคัญในการลดความเหลื่อมล้ำในสังคมสร้างหลักประกันที่มั่นคงให้ชีวิตของประชากรที่มีอาชีพอิสระ หรืออยู่นอกระบบบำเหน็จบำนาญของรัฐ ให้ได้มีโอกาสรับสวัสดิการจากภาครัฐอย่างทั่วถึงทุกกลุ่ม ตอบสนองต่อแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (ปี 61-80) ด้วยประเทศไทยจำเป็นต้องสร้างระบบการออมที่เข้มแข็ง เพื่อเสริมสร้างเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ รวมถึงรองรับสภาพสังคมของประเทศที่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรสู่สังคมผู้สูงอายุ
ปัจจุบัน กอช. มีเงินกองทุนกว่า 6,300 ล้านบาท และมีจำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้นแบบบก้าวกระโดด โดยปี 62 เติบโตถึงร้อยละ 263 โดยสมาชิกส่วนใหญ่ เกือบร้อยละ 50 ประกอบอาชีพเกษตรกร รองลงมาไม่ระบุอาชีพ ร้อยละ 24 และไม่ได้ประกอบอาชีพ ร้อยละ 7
สำหรับการจัดงานนี้เป็นการมอบรางวัลส่งเสริมการออมยอดเยี่ยม ประจำปี 62 จำนวน 22 รางวัล โดยแบ่งเป็นประเภทรางวัลเกียรติยศ 3 รางวัล, รางวัลความร่วมมือ 4 รางวัล, รางวัลผลงานส่งเสริมการออมยอดเยี่ยม 9 รางวัล และรางวัลผลงานส่งเสริมการออมสูงสุด 6 รางวัล
ทั้งนี้ กอช. ได้จัดให้มีการมอบรางวัลเกียรติยศแก่หน่วยงานความร่วมมือสนับสนุนส่งเสริมการออม และรางวัลผลงานส่งเสริมการออมยอดเยี่ยมแก่องค์กร หน่วยงานที่ดำเนินการประชาสัมพันธ์ พร้อมขับเคลื่อนการเพิ่มจำนวนสมาชิก กอช. ดีเด่น ในช่วงเดือน ม.ค. – ก.ย.62 เป็นต้นมา และเพื่อเป็นเกียรติแก่หน่วยงานความร่วมมือที่มีการส่งเสริมวินัยการออมกับ กอช. ยอดเยี่ยม ที่ได้ร่วมกันส่งเสริม และสนับสนุนให้ประชาชนมีวินัยในการออมเงินไว้ใช้ในวัยเกษียณกับ กอช.
ส่วน น.ส.จารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการ กอช. กล่าวว่า ในปี 63 กอช. จะลงพื้นที่ให้ความรู้กับนักเรียน นักศึกษา ในสถานศึกษาเพิ่มมากขึ้น พร้อมสร้างสถานศึกษาต้นกล้าการออมครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ ให้ตระหนักถึงการสร้างวินัยการออมในอนาคต ด้วยการวางแผนอนาคตออมเงินกับ กอช. เพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินหลังอายุ 60 ปี ให้มีกิน มีใช้ในอนาคตโดยเฉพาะในวัยเกษียณ เมื่อส่งเงินออมสะสมตั้งแต่ 50 บาท สูงสุด 13,200 บาทต่อปี รัฐจะจ่ายเงินสมทบให้ในวันที่ 15 ของเดือนถัดไปตามช่วงอายุของสมาชิก พร้อมรับประโยชน์เพิ่มอีก 3 ต่อ ดังนี้
ต่อที่ 1 รับเงินสมทบเพิ่มจากรัฐ ตามช่วงอายุของสมาชิก โดยช่วงอายุ 15 – 30 ปี รัฐสมทบให้ 50% ของเงินออมแต่ละครั้ง โดยรวมกันทั้งปีไม่เกิน 600 บาท คิดเป็นดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร 4.54%, ช่วงอายุ >30 – 50 ปี รัฐสมทบให้ 80% ของเงินออมแต่ละครั้งโดยรวมกันทั้งปีไม่เกิน 960 บาท คิดเป็นดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร 7.27% และ ช่วงอายุ >50 – 60 ปี รัฐสมทบให้ 100% ของเงินออมแต่ละครั้ง โดยรวมกันทั้งปีไม่เกิน 1,200 บาท คิดเป็นดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร 9.09%
ต่อที่ 2 ผลตอบแทนของเงินออมสะสม และเงินสมทบที่นำไปลงทุน และต่อที่ 3 ลดหย่อนภาษีได้เต็มจำนวนเงินออมสะสม
สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสมัครสมาชิก กอช. เพียงมีอายุ 15 – 60 ปี โดยสามารถตรวจสอบสิทธิก่อนการสมัครได้ที่แอปพลิเคชัน “กอช” หรือที่ www.nsf.or.th หรือธนาคารของรัฐบาลทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ ธนาคาร ธ.ก.ส. ธอส. ธนาคารออมสิน และธนาคารกรุงไทยทุกสาขา ที่ว่าการอำเภอ เคาน์เตอร์เซอร์วิส เทสโก้โลตัส ตู้บุญเติม ทั่วประเทศ รวมทั้งสำนักงานคลังจังหวัด สถาบันการเงินชุมชน และเครือข่ายรับสมัครทั่วประเทศ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนเงินออม โทร. 02-049-9000.