ดัชนีความเชื่อมั่นต่ำสุดรอบ 8 เดือน
ดัชนีความเชื่อเดือนพ.ค. ล่วงติดต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 และต่ำสุดในรอบ 8 เดือน เหตุปัญหาภัยแล้ง ยอดส่งออกติดลบและปัญหาเศรษฐกิจโลก ส่วนปัจจัยเช่น กนง.คงอัตราดอกเบี้ย สภาพัฒน์ประกาศจีดีพีโต 3.2% เป็นต้น
“ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 และอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 8 เดือน นับตั้งแต่เดือน ต.ค.58 เนื่องจากผู้บริโภคมองว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมยังฟื้นตัวขึ้นไม่มากนัก และยังมีความกังวลกับความไม่แน่นอนในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก การส่งออกที่ยังหดตัว ปัญหาภัยแล้ง ราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ ซึ่งทั้งหมดนี้ยังเป็นตัวบั่นทอนความเชื่อมั่นโดยรวมของไทยในอนาคต” นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวและกล่าวว่า
ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเดือนพ.ค.59 จากสำรวจกลุ่มตัวอย่าง 2,248 คนทั่วประเทศพบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคอยู่ที่ 72.6 ลดลงจากเดือนเม.ย.59 ที่อยู่ที่ระดับ 72.7 ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในปัจจุบันอยู่ที่ 51.9 ลดลงจาก 53.1
ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมเดือนพ.ค. อยู่ที่ 61.1 ลดลงจาก 61.5 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสในการหางานอยู่ที่ 67.7 ลดลงจาก 68.0 ยกเว้นดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตที่เพิ่มขึ้นจาก 88.5 ในเดือนเม.ย.59 มาอยู่ที่ 89.0 และดัชนีความเชื่อมั่นในอนาคต เพิ่มขึ้นจาก 80.5 มาอยู่ที่ 80.9 เพราะแนวโน้มเศรษฐกิจไทยจะดีขึ้นในอนาคต
ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ยังปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ต่ำสุดในรอบ 8 เดือน จากปัจจัยลบคือ การส่งออกในเดือนเม.ย. ลดลง 8% ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้น ความกังวลเกี่ยวกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลกที่อาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของการส่งออก ความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ภัยแล้งและราคาพืชผลทางการ เกษตรที่ยังทรงตัวในระดับต่ำ
ขณะที่ปัจจัยบวกมาจากการที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ ยังคาดการณ์ จีดีพีปี 59 ไว้เท่าเดิมที่ 3.3% แต่ปรับกรอบให้แคบลงมาเหลือ 3-3.5% คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.5% ราคายางพาราปรับตัวเพิ่มขึ้น เงินบาทอ่อนค่าลงเล็กน้อย ความคาดหวังของประชาชนที่ว่ารัฐบาลเน้นการใช้จ่ายเพื่อการลงทุนและกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น
“เราคาดว่า การบริโภคของภาคประชาชนยังฟื้นตัวไม่มากในช่วงนี้ไปจนถึงกลางไตรมาส 3 เนื่องจากประชาชนยังวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจไทย แต่ยังเชื่อว่าการบริโภคน่าจะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นในช่วงปลายไตรมาส 3 ของปีนี้ ถ้าสถานการณ์ความผันผวนของเศรษฐกิจโลกคลี่คลายลง และประสิทธิภาพของการใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวขึ้นมีความเป็นรูปธรรม” นายธนวรรธน์ กล่าว
สำหรับข้อแนะนำในการทำงานของรัฐบาลในอนาคตคือ รัฐบาลจำเป็นต้องเร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว เพื่อให้เกิดการเบิกจ่ายงบประมาณ และมีเม็ดเงินลงไปหมุนเวียนสู่ระดับภูมิภาค พร้อมมองว่าในช่วงนี้มีความเหมาะสมที่รัฐบาลจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ เนื่องจากเป็นช่วงที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยว กับเศรษฐกิจในปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 15 ปี นับตั้งแต่เดือน ต.ค.44
“ถ้าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ก็น่าจะทำในช่วงนี้ เพราะถือเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ เนื่องจากดัชนีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันต่ำสุดในรอบเกือบ 15 ปี จึงเป็นสถานการณ์ที่รัฐบาลต้องเข้มข้นในเรื่องการเร่งเบิกจ่ายเงินงบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้เงินหมุนเวียนสู่ทุกภูมิภาค แต่ทางศูนย์ฯ ก็ยังคงคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวได้ 3-3.5%”.