JWD ขยายธุรกิจอาหาร เวียดนาม-กัมพูชา ปี 63 ชัดเจน
JWD เผย แผนขยายธุรกิจอาหาร รูปแบบ Food Service ในเวียดนามและกัมพูชา ชัดเจนปี 2563 ตั้งเป้ารายได้จากธุรกิจอาหารเพิ่มขึ้นเป็น 3,000 ล้านบาทใน 3-5 ปีข้างหน้า
นายเอกพงษ์ ตั้งศรีสงวน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) (JWD) กล่าวว่า บริษัทคาดว่าผลประกอบการในครึ่งปีหลังนี้จะเติบโตดีกว่าครึ่งปีแรก เป็นไปตามธุรกิจหลักโลจิสติกส์ที่ยังมีการเติบโตได้ดี ขณะที่ธุรกิจอาหารในประเทศไต้หวันในไตรมาส 3 และไตรมาส 4 นี้จะเป็นช่วงของไฮซีซั่นของธุรกิจ
ล่าสุด บริษัทก็ได้รับออเดอร์ตัดผักให้กับเบอร์เกอร์รายใหญ่ของโลก เพื่อส่งให้กับสาขาในประเทศไต้หวัน คาดว่าจะเริ่มทดสอบการเดินเครื่องผลิตได้ในปลายไตรมาส 3 ปี 62 ซึ่งจะเริ่มรับรู้รายได้เข้ามาในปี 63 เป็นต้นไป ส่วนในประเทศไทย ก็ได้เป็นตัวแทนจำหน่ายให้กับแบรนด์เบเกอรี่ประเทศฝรั่งเศล 1 แบรนด์ โดยบริษัทก็ได้มีการส่งสินค้าเข้าไปในร้านกาแฟประมาณ 110 สาขา และยังมีการนำเสนองานให้กับร้านกาแฟอื่นๆ ที่เป็นแบรนด์ในต่างประเทศเพิ่มเติมอีก ซึ่งน่าจะเป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่จะสร้างการเติบโตในอนาคตอันใกล้ได้
ขณะที่ในต่างประเทศ บริษัทมีแผนจะขยายการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรในเวียดนามและกัมพูชา เพื่อร่วมลงทุน (JV) รวมทั้งเจรจากับพันธมิตรในไทยเพื่อเข้าซื้อกิจการ (M&A) ขยายการเติบโตของธุรกิจอาหาร ในรูปแบบ Food Service คาดว่าน่าจะเห็นความชัดเจนได้ในปี 63 ราว 1-2 ดีล โดยในประเทศไทยจะเริ่มเข้าไปตรวจสอบฐานะทางการเงิน (ดิวดิลิเจนต์) ได้ในเดือน ก.ย.62
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้จากธุรกิจอาหารใน 3-5 ปีข้างหน้าจะเติบโตใกล้เคียงกับธุรกิจโลจิสติกส์ หรือเพิ่มขึ้นเป็น 3,000 ล้านบาท จากครึ่งปีแรกที่ผ่านมามีรายได้อยู่ที่ 300 ล้านบาท และในปี 61 มีรายได้อยู่ที่ 480 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนรายได้ประมาณ 14% ของรายได้รวม และหากรายได้เติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ บริษัทก็มีแผนนำธุรกิจอาหาร Spin Off เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นในปี 65 ต่อไป
บริษัทยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไรในบริษัทร่วมทุนเข้ามามากขึ้น โดยคาดว่า TRANSIMEX CORPORATION (TMS) ในครึ่งปีหลังนี้จะเติบโตดีกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากเป็นช่วงของไฮซีซั่นของธุรกิจ และ JWD ก็พยายามที่จะส่งผ่านงานไปให้กับ TMS ขณะเดียวกันการลงทุนในประเทศกัมพูชา ในธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม พนมเปญ บริษัทก็เริ่มรับรู้รายได้ในรูปแบบอิควิตี้ อินคัม ตั้งแต่ไตรมาส 3/61 เป็นต้นมา โดยรายได้หลักจะมาจากการขายที่ดิน ซึ่งปัจจุบันก็มีแผนกว้านซื้อที่ดินเพื่อดำเนินการในเฟสที่ 4 (PPSEZ PROJECTหรือ PPSP II) เพื่อขายให้กับลูกค้าต่อไป
นอกจากนี้ ธุรกิจร่วมทุนกับ Bok Seng Logisitcs ประเทศสิงคโปร์ เพื่อให้บริการโลจิสติกส์เฉพาะทางสำหรับสินค้าขนาดใหญ่พิเศษ (Project Cargo Logistics) ในประเทศไทยและภูมิภาค ปัจจุบันอยู่ระหว่างประมูลงานเมกะโปรเจ็คต์, คาร์โก ,โลจิสติกส์ ประมาณ 20 โครงการ มูลค่าราว 150-200 ล้านบาท คาดจะทราบผลได้ในปลายไตรมาส 3/62 หรือต้นไตรมาส 4/62
ด้านธุรกิจร่วมทุนกับ CJ Logistics ผู้ให้บริการโลจิสติกส์รายใหญ่จากเกาหลีใต้ เพื่อขยายตลาดให้บริการบริหารจัดการสินค้าแบบ B2B และ B2C ในไทย ล่าสุดได้รับงานขนาดใหญ่เข้ามา คาดว่าจะเริ่มงานได้เดือนต.ค.นี้
บริษัทยังมีแผนออกหุ้นกู้ เพื่อทดแทนหุ้นกู้เดิมที่จะครบกำหนดในเดือน พ.ย.นี้ มูลค่าประมาณ 300 ล้านบาท คาดช่วงปลายไตรมาส 3/62 หรือต้นไตรมาส 4/62 จะได้ข้อสรุปว่าจะรีไฟแนนซ์ ทั้งหมดหรือบางส่วน