สรุปสถานการณ์น้ำภาพรวมของประเทศ วันที่ 15 ก.ย. 68

สรุปสถานการณ์น้ำภาพรวมของประเทศ
1. สรุปสถานการณ์น้ำ และปริมาณฝนสะสม 24 ชม. สูงสุด ได้แก่ ภาคเหนือ : จ.นครสวรรค์ (119 มม.) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : จ.อุบลราชธานี (74 มม.) ภาคตะวันตก : จ.กาญจนบุรี (89 มม.) ภาคกลาง : จ.สมุทรสาคร (147 มม.) ภาคตะวันออก : จ.จันทบุรี (72 มม.) ภาคใต้ : จ.ยะลา (144 มม.)
สภาพอากาศวันนี้ : ร่องมรสุมพาดผ่านภาคกลาง ภาคใต้ตอนบน และภาคตะวันออก เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำ กับมีลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออก และอ่าวไทยตอนบน ในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางยังคงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย ทำให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ ยังคงมีฝนตกหนักบางแห่ง
คาดการณ์ : ช่วงวันที่ 17 – 20 ก.ย. 68 บริเวณภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลางรวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคใต้ฝั่งตะวันออก มีฝนตกหนักบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากบางพื้นที่บริเวณภาคตะวันออกและภาคใต้ฝั่งตะวันตก
2. สถานการณ์น้ำอ่างเก็บน้ำในภาพรวม : ปริมาณน้ำรวม 75% ของความจุเก็บกัก (60,369 ล้าน ลบ.ม.) ปริมาณน้ำใช้การ 63% (36,267 ล้าน ลบ.ม.)
3.ข่าวประชาสัมพันธ์ : สทนช. ผสาน ชป. ขานรับมติคณะอนุกรรมการฯ ด้านบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ปรับเพิ่มการผันน้ำเข้าคลองสองฝั่งตะวันตก-ตะวันออก ช่วยลดปริมาณน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยา
นายสุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่า จากการประชุมคณะอนุกรรมการอำนวยการด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ครั้งที่ 14/2568 เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2568 ได้มีมติให้ กรมชลประทานเร่งระบายน้ำไปทางฝั่งตะวันตกและตะวันออกให้ได้มากที่สุด เช่น ระบายน้ำไปทางคลองส่งน้ำที่ยังสามารถรองรับได้ รวมถึงกำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำตลอดลำน้ำเพื่อเร่งการระบาย พร้อมทั้งติดตั้งเครื่องจักรเครื่องมือที่จะช่วยผลักดันน้ำให้เต็มศักยภาพ เพื่อให้สามารถคงอัตราการระบายน้ำที่เขื่อนเจ้าพระยาอยู่ที่อัตรา 2,000 ลบ.ม.ต่อวินาที และไม่ให้เกิดผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายเขื่อนเพิ่มมากขึ้นนั้น สทนช. จึงได้ประสานงานร่วมกับกรมชลประทานปรับเพิ่มอัตราการระบายน้ำเข้าคลองฝั่งตะวันตกและตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาดังนี้ ทางฝั่งตะวันออกได้ปรับอัตราการระบายน้ำเพิ่มขึ้นรวม 15 ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อวินาที แบ่งเป็นปรับเพิ่มการระบายน้ำเข้าที่ประตูระบายน้ำ (ปตร.) ปากแม่น้ำลพบุรี 10 ลบ.ม.ต่อวินาที และที่ ปตร. ปากคลองบางแก้วปรับเพิ่มอีก 5 ลบ.ม.ต่อวินาที สำหรับทางฝั่งตะวันตก ได้มีการปรับเพิ่มการระบายน้ำเข้าคลองต่างๆ รวม 55 ลบม.ต่อวินาที โดยแบ่งเป็น คลอง มอ. 5 ปรับเพิ่มการระบายจาก 25 ลบ.ม.ต่อวินาที เป็น 30 ลบ.ม.ต่อวินาที แม่น้ำท่าจีน ปรับเพิ่มการระบายจาก 70 ลบ.ม.ต่อวินาที เป็น 100 ลบ.ม.ต่อวินาที และแม่น้ำน้อย ปรับเพิ่มการระบายจาก 80 ลบ.ม.ต่อวินาที เป็น 100 ลบ.ม.ต่อวินาที เพื่อช่วยลดปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยา ซึ่งวันนี้ยังคงอัตราน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยา 2,000 ลบ.ม. ต่อวินาทีเท่ากับเมื่อวาน โดยมีระดับน้ำเหนือเขื่อนอยู่ที่ 17.31 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง
พร้อมทั้งได้กำชับให้กรมชลประทานพิจารณาการส่งต่อน้ำให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และไหลลงสู่ทะเลโดยเร็วที่สุด เพื่อลดผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ลุ่มต่ำ
4.การให้ความช่วยเหลือ: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ระะดมเครื่องจักรกลเร่งสูบระบายน้ำ ช่วยน้ำท่วมสิงห์บุรี-สุโขทัย ดังนี้
– นำเครื่องสูบน้ำเร่งสูบระบายน้ำที่ ต.ชีน้ำร้าย อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี ซึ่งเป็นจุดที่มีบ้านเรือนประชาชนกว่า 730 หลังคาเรือน โดยได้เดินเครื่องสูบระบายน้ำต่อเนื่องมาตั้งแต่วันที่ 9 ก.ย. 68 ถึงปัจจุบัน
– สูบส่งน้ำเพื่อผลักดันน้ำที่ท่วมขังบริเวณชุมชนคูหาสุวรรณ เทศบาลเมืองสุโขทัยธานี ไปยังท่อน้ำทิ้งชุมชนคูหาสุวรรณ เทศบาลเมืองสุโขทัยธานี และติดตั้งเครื่องสูบน้ำที่ซอยแม่รำพัน 5 (พ่วงสุวรรณ) ชุมชนคลองโพธิ์ เทศบาลเมืองสุโขทัยธานี ส่งน้ำไปยังคลองโพธิ์ เพื่อช่วยเหลือประชาชนบริเวณชุมชนคูหาสวรรค์และชุมชนคลองโพธิ์ รวมกว่า 500 หลังคาเรือน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : สรุปสถานการณ์น้ำภาพรวมของประเทศ วันที่ 14 ก.ย. 68