คลังออกโทเคนอิงพันธบัตร 1 หมื่นล้าน
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลัง เล็งออกโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน (Investment Token) ที่อิงพันธบัตรรัฐบาล โดยเป็นการนำเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล มาประยุกต์ใช้กับการออกพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งกระทรวงการคลังมีการออกพันธบัตรรัฐบาลอยู่แล้วในทุกปี
โดยในเฟสแรก จะเป็นการออกเป็นรูปแบบ Investment Token ที่ประชาชนทั่วสามารถเข้าถึงได้ และอยู่ในแพลตฟอร์ม ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนารูปแบบของระบบที่จะมารองรับ ทำให้พันธบัตรรัฐบาลมีสภาพคล่องมากขึ้น จากรูปแบบดั้งเดิมที่นักลงทุนที่ซื้อพันธบัตรรัฐบาลส่วนใหญ่ เป็นนักลงทุนสถาบัน โดยวงเงินเบื้องต้นอยู่ราว 1 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในปี 68
ส่วนในเฟสที่ 2 จะพัฒนาไปสู่รูปแบบที่คล้ายกับ Stable Coin ที่มีการอ้างอิงกับพันบัตรรัฐบาล และสามารถนำมาใช้จับจ่ายใช้สอยซื้อสินค้าและบริการได้ โดยจะเป็นโครงการในอนาคต อย่างไรก็ดี ในเฟสที่ 2 อาจจะต้องปรึกษาหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในเรื่องของการนำมาใช้จ่ายแทนเงิน แต่คาดว่าจะไม่มีปัญหาติดขัดอะไร เพราะเป็นโครงการของรัฐบาลที่ทำออกมา และมีความน่าเชื่อถือได้
“อยากเอา Government bond มาทำอะไรบางอย่าง ซึ่งคิดว่า Government bond ก็มีค่าเทียบเท่ากับ Stable coin ได้ ทำไมต้องให้คนเอาไปเก็บเงินใน saving มันน่าจะเชื่อมต่อกับ merchant ได้ไหม ซึ่งเรื่องนี้กลไกทำได้ไม่ยากอยู่แล้ว หากเราเปิดให้สิ่งเหล่านี้ ก็จะเป็นทางเลือกมากขึ้นให้กับนักลงทุนรายย่อย แทนการออมในรูปแบบเดิม” นายพิชัย ระบุ
รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ยังกล่าวถึงการออก พ.ร.ก.เพิ่มอำนาจให้เจ้าหน้าที่สำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เช่น การทำหน้าที่สอบสวน และรวบรวมสำนวนในคดีเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ ซึ่งกระทรวงการคลัง เตรียมเสนอครม.ภายใน 2 สัปดาห์ โดย พ.ร.ก.จะทำให้การบังคับใช้กฎหมายรวดเร็วขึ้นได้ 6-7 เดือน
นอกจากนี้ ยังอยากเห็นบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) มีส่วนร่วม และมีบทบาทในการประกอบธุรกิจ และผลักดันอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล โดยไม่ต้องจัดตั้งบริษัทใหม่ เพราะมองว่า บล. มีจุดแข็งที่ใกล้ชิดกับผู้ลงทุน และอยู่ภายใต้พ.ร.บ.หลักทรัพย์ มีการกำกับดูแลจาก ก.ล.ต. และอยากเห็นการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลที่นำไปสู่การสร้างนวัตกรรมใหม่ที่สร้างมูลค่าให้เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทย
“อยากเห็นบริษัทหลักทรัพย์ เข้ามามีบทบาทใน Digital asset โดยที่ไม่ต้องไป set บริษัทใหม่ ถ้าทำได้จะดียิ่งขึ้น มันจะช่วยสร้างความพอใจ หรือ ปรับให้เหมาะสมกับนักลงทุน และอีกสิ่งคือเมื่อจะทำ Digital asset จะกลัวไปหมด รัฐบาลก็กลัว ดังนั้น จึงคิดว่า อยากเห็นว่าเมื่อจะทำ ต้องให้เกิดความสมดุลระหว่างการคุ้มครองผู้ลงทุน กับการพัฒนาไปสู่นวัตกรรมใหม่ ถ้าเราไม่กล้าทำ ก็ไม่เกิด ดังนั้นอาจทำผ่าน แซนด์บ็อกซ์ (Sandbox) ในพื้นที่จำกัดหรือพื้นที่ทดลอง ด้วยจำนวนที่น้อย และอย่าไปสร้างเงื่อนไขที่เข้มงวด สามารถหยิบผลจากการทดสอบนี้ขึ้นมาทำต่อได้ ต้องมีการทดลองก่อน” รองนายกฯ และรมว.คลัง กล่าว
พร้อมระบุว่า ไม่ว่าจะเป็นหลักทรัพย์ในรูปแบบเก่า หรือหลักทรัพย์รูปแบบใหม่ที่เป็น Digital Asset นั้น จริงๆ แล้วนักลงทุนก็คือกลุ่มเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นรายย่อย รายใหญ่ นักลงทุนสถาบัน ในประเทศหรือต่างประเทศ หรือกองทุน ถ้าแยกทำเป็น 2 ส่วน จะไม่ได้ช่วยอำนวยความสะดวกให้นักลงทุนเลย เพราะจริง ๆ แล้ว source of fund ของนักลงทุนก็มาจากที่เดียวกัน ดังนั้นจึงควรจะสามารถเชื่อมกันได้อย่างไร้รอยต่อ
รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ยังกล่าวด้วยว่า สิ่งที่ต้องการเห็นการดำเนินการอย่างจริงจัง เพื่อเป็นส่วนในการสร้าง ความพึงพอใจในตลาดทุนของไทย มี 2 เรื่อง คือ 1. กระบวนการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังกับผู้กระทำผิด และดำเนินการบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำผิดในระยะเวลาที่รวดเร็วขึ้น ซึ่งขณะนี้กระทรวงการคลัง และ ก.ล.ต.อยู่ระหว่างการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายร่วมกันในการเพิ่มอำนาจให้ ก.ล.ต.สามารถบังคับใช้กฎหมายได้รวดเร็วขึ้น โดยเฉพาะในกรณีที่มีผลกระทบในวงกว้าง หรือ High Impact
“เรื่องเล็ก ๆ ก็ปล่อยเข้ารูทีนไปได้ แต่ถ้าเรื่องใหญ่ ต้องดำเนินการทันที ต้องมีอำนาจ เรากำลังทำอยู่ที่จะดึงให้ท่าน (ก.ล.ต.) มีทั้งอำนาจที่จะสั่งการ และดำเนินการที่รวดเร็วเป็นการป้องกันความเสียหายของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยด้วย ไม่ว่าจะเป็นตราสารหนี้ หรือสินทรัพย์”
2. การยกระดับการทำหน้าที่อย่างมืออาชีพ โดยเห็นว่าความรับผิดชอบเฉพาะแค่บุคคลอาจจะไม่เพียงพอหรือไม่ แต่ควรเป็นความรับผิดชอบของสำนักงาน รวมไปถึงความเข้มงวดในการตรวจสอบบัญชี ซึ่งนอกเหนือจากความรู้ที่มีในเรื่องการตรวจสอบบัญชีแล้ว จะต้องมีความเข้าใจในอุตสาหกรรมด้วย
“ที่พูดมาทั้งหมด เพื่อจะทำให้เห็นว่าเราได้สำเร็จและไปสู่สิ่งที่ทาง ก.ล.ต.บอกไว้ เพื่อให้คนข้างนอกมองเห็นว่า สิ่งที่เราได้ทำไป เมื่อคนข้างนอกมองเห็น ความเชื่อมั่นก็จะตามมา รัฐบาล และผู้กำกับจะทำงานร่วมกัน ด้วยความหวังเห็นประเทศไทยอยู่ในบริบทแห่งความยั่งยืน” รองนายกฯ และรมว.คลัง กล่าว
นายพิชัย ยังกล่าวถึงกรณีที่ตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลงในขณะนี้ โดยมองว่า สอดคล้องกับตลาดหุ้นต่างประเทศที่ปรับตัวลงเช่นเดียวกัน เพราะนักลงทุนยังอยู่ในช่วง รอดูทิศทาง ปัจจัยต่างๆ ซึ่งมีความผันผวนและไม่แน่นอน ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลง และยืนยันว่ากองทุนวายุภักษ์ยังไม่หมดแรงในการเข้ามาช่วยหนุนตลาดหุ้นไทย แต่ผู้บริหารกองทุนวายุภักษ์จะหาจังหวะในการเข้าลงทุนที่เหมาะสม เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหน่วยกองทุนวายุภักษ์ได้อย่างสม่ำเสมอ
นายพิชัย ยังกล่าวถึงการผลักดันประเทศไทยไปสู่ ศูนย์กลางทางการเงิน โดยมองว่า เป็นโอกาสของประเทศไทยในการดึงดูดบริษัทชั้นนำจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนในไทย แต่กระทรวงการคลัง ยังมองความเสี่ยงในบางจุดที่ต้องระมัดระวัง โดยช่วงแรก อาจเป็นการให้สถาบันการเงินจากต่างชาติเข้ามาดำเนินธุรกิจในไทย แต่ให้บริการเฉพาะลูกค้าต่างชาติเท่านั้น ซึ่งเป็นการทดลองในช่วงแรก ก่อนที่จะขยายการบริการให้กับลูกค้าในประเทศ
ขณะเดียวกัน กระทรวงการคลัง ยังมีความตั้งใจอยากดึงบริษัทชั้นนำของไทยที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นต่างประเทศ เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยด้วยเช่นกัน เพื่อสร้างความน่าสนใจให้กับตลาดหุ้นไทยมากขึ้น
“อยากจะชักชวนสถาบันการเงินจากต่างประเทศย้ายฐานมาที่ไทย เรามองว่าประเทศไทยมีความเหมาะสม ใครก็อยากมา ดังนั้นจะให้เขาทำเฉพาะธุรกิจที่เป็นต่างชาติก่อน ไม่รับลูกค้าไทย เมื่อทำแบบนี้ จะใช้กฎหมายที่ไหนก็แล้วแต่ ก็ทำได้เลย แต่มีออฟฟิศอยู่ที่ไทย รวมทั้งเป็นสำนักงานสาขาที่ไทยด้วย สิ่งที่ตามมาคือ การฝึกทักษะเด็กที่จบใหม่ คุ้นเคยกับสิ่งที่ทำนอกประเทศ ก่อนย้ายเข้ามาเป็นตลาดในประเทศ ซึ่งจะเป็นเฟสต่อไป ในกฎหมายนี้ เราจะทำให้เขามีความสะดวกขึ้น” นายพิชัย กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : คลังดันจีดีพีปีนี้โต 3.5%