ครม.ไฟเขียว งบปี69 ทะยาน 3.78 ล้านล้านบาท
• บีบคลังรัดภาษีเข้างบประมาณรายจ่าย
• ตั้งขาดดุล 8.6 แสนล้าน ลดลงจากปีก่อน
• เผยรายจ่ายพุ่ง 70% ของรายได้งบปี69
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 จำนวน 3.78 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.7% จากปีงบประมาณ 2568 โดยคาดการณ์รายได้รัฐบาลสุทธิ 2.92 ล้านล้านบาท และเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ 860,000 ล้านบาท คิดเป็น 4.3% ของ GDP ซึ่งเป็นการขาดดุลงบประมาณที่ลดลงจากปี 256
การจัดทำกรอบงบประมาณดังกล่าว อยู่ภายใต้สมมติฐานเศรษฐกิจไทยปี 2569 ขยายตัวได้ 2.3-3.3% (ค่ากลาง 2.8%) อัตราเงินเฟ้อ 0.7-1.7% (ค่ากลาง 1.2%)
ทั้งนี้ โครงสร้างงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 จำนวน 3.78 ล้านล้านบาท ประกอบด้วย
รายจ่ายประจำ 2.64 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 70% ของวงเงินงบประมาณ
รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง 123,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 3.3% ของวงเงินงบประมาณ
รายจ่ายลงทุน 860,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 22.7% ของวงเงินงบประมาณ
รายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ 151,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 4.0% ของวงเงินงบประมาณ
โฆษกรัฐบาล กล่าวว่า ในปีงบประมาณ 2569 ยังคงดำเนินนโยบายขาดดุลงบประมาณ เพื่อมุ่งเน้นการดำเนินการตามนโยบายสำคัญของรัฐบาล รวมทั้งเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และแก้ไขปัญหาเร่งด่วน ทั้งปัญหาหนี้สิน รายได้ และค่าครองชีพ ตลอดจนสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจ ต่อยอดการพัฒนาของภาคการผลิตและการบริการ เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ส่งเสริมการท่องเที่ยว และพัฒนาประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อวางรากฐานของประเทศไทยให้เกิดความเท่าเทียมและยั่งยืน
อย่างไรก็ตาม ขอให้หน่วยงานต่าง ๆ ปฏิบัติตามแผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบ 69-72) อย่างเคร่งครัด ดังนี้
1. ให้กระทรวงการคลัง จัดเก็บรายได้ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เทียบเคียงการดำเนินการกับประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใกล้เคียงกับไทย
2. ให้หน่วยรับงบประมาณ ใช้จ่ายงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรอย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลมากที่สุด เพื่อให้มีความคุ้มค่า ประหยัด และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน และการจัดทำคำขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี ให้เสนอขอรับเท่าที่จำเป็น โดยให้ความสำคัญกับโครงการลงทุนของภาครัฐ
3. ส่วนราชการ และหน่วยงานรัฐ ที่มีเงินนอกงบประมาณ เงินรายได้ หรือเงินสะสม ให้นำเงินมาใช้ดำเนินโครงการ/ภารกิจในความรับผิดชอบเป็นลำดับแรก
4. ให้ทุกกระทรวงและรัฐวิสาหกิจ เร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนรัฐวิสาหกิจ และให้พิจารณาการลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อจูงใจให้ภาคเอกชน และนักลงทุนจากต่างประเทศ เข้ามาลงทุนในประเทศเพิ่มมากขึ้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : ครม.อนุมัติมาตรการ “Easy E-Receipt 2.0” ลดหย่อนภาษี 68 สูงสุด 5 หมื่น 16 ม.ค.- 28 ก.พ.68