สศค.แตะเบรกพรรคการเมืองโหมประชานิยม
สศค.หวั่นรัฐบาลใหม่ ถลุงงบประมาณสนองนโยบาบประชานิยมจนเกลี้ยงกระเป๋า
ยันฐานะการคลังแม้จะมีความแข็งแกร่งแต่ต้องรักษาวินัยการเงิน-การคลัง ขณะที่เศรษฐกิจไทย คาดขยายตัว 3.6% ดีกว่าปีที่แล้ว ขยายตัว 2.6%
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ระบุว่า งบกลางที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของนายกรัฐมนตรี จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อเกิดกรณีฉุกเฉินและมีความจำเป็นเร่งด่วน เช่น ภัยแล้ง น้ำท่วม ส่วนกรณีที่พรรคการเมืองหาเสียงด้วยใช้นโยบายประชานิยมนั้น หากเข้ามาเป็นรัฐบาลแล้ว ก็ตามพิจารณาด้วยว่า จะหาเงินจากส่วนไหนมาสนับสนุนนโยบายดังกล่าวสำหรับงบกลางในปีนี้ (2566) รัฐบาลใหม่คงไม่สามารถใช้ได้อีกแล้ว เพื่อมีช่องว่างให้ใช้ได้อีกไม่มาก จากวงเงินทั้งหมด 92,400 และที่สำคัญ กล่าวจะเลือกตั้งเสร็จและจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ก็ใกล้จะสิ้นปีงบประมาณในเดือนก.ย. จึงต้องรองบประมาณใหม่ในปี2567 มีงบกลางอยู่ 93,000 ล้านบาทนอกจากนี้ กระทรวงการคลังยังคงใช้แผนการคลังระยะปานกลาง ( 2566-2570 โดยมีหลักการที่สำคัญ คือ 1.ต้องการลดการขาดดุลงบประมาณต่อจีดีพี ซึ่งปี 2567 ตั้งไว้กู้ชดเชยการขาดดุลที่ 3% เป็นตัวเลขที่เหมาะสมเมื่อเทียบกับหลายประเทศ ที่มีภาระด้านการคลังเหมือนไทยหลังสถานการณ์โควิด และหลังจากปี 2567 จะทยอยลดลงต่ำกว่า 3% ซึ่งเป็นกติกาที่มีไว้ให้เกิดวินัยการคลัง ควบคุมการใช้จ่าย ลดภาระรัฐบาล2.เป็นการสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคการคลังในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการจัดสรรงบประมาณรายจ่าย การจัดเก็บรายได้ให้มีประสิทธิภาพ รวมถึงประสิทธิภาพในการจัดการหนี้สาธารณะ เพื่อให้มีการบริหารพื้นที่ทางการคลังให้เหมาะสม
การมุ่งสู่ภาคการคลั่งที่ยั่งยืน และมีศักยภาพในการรับความเสี่ยงของประเทศที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต โดยการมุ่งทำงบประมาณสมดุลในอนาคต ตามแผนการคลังระยะปานกลางขณะที่เศรษฐกิจไทยปี 2566 จะขยายตัวที่ 3.6% ช่วงคาดการณ์ที่ 3.1 – 4.1% ฟื้นตัวต่อเนื่องจากปี 2565 ที่ขยายตัวที่ 2.6% โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการบริโภคที่ปรับตัวดีขึ้นและภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศเดินทางเข้ามาในประเทศไทยจำนวน 29.5 ล้านคน ขยายตัว 164% มีรายได้จากการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ 1.3 ล้านล้านบาท คิดเป็น 255% ส่งผลให้รายได้จากภาคการท่องเที่ยวและธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง สอดคล้องกับด้านอุปสงค์ภายในประเทศที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง
สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดคือ ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ความผันผวนของตลาดการเงินโลกจากการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดของประเทศคู่ค้าหลักและปัญหาสถาบันการเงินในต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป และความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์โลกในภูมิภาคต่าง ๆ ซึ่งอาจส่งผลต่อความมั่นคงระหว่างประเทศและปัจจัยการผลิตต่าง ๆ