สรุปสถานการณ์น้ำภาพรวมของประเทศ วันที่ 24 มี.ค. 66
ประเทศไทยตอนบน มีอากาศร้อนโดยทั่วไปกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวันและมีอากาศร้อนจัดบางพื้นที่ ภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง มีฝนฟ้าคะนอง กับมีลมกระโชกแรงบางแห่ง ส่วนภาคใต้มีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง
ปริมาณฝนตกใน 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา มีฝนตกหนักบริเวณ จ.ยะลา (74 มม.) จ.ตรัง (45 มม.) และ จ.นครราชสีมา (43 มม.)
น้ำใช้การแหล่งน้ำทุกขนาด 29,427 ล้าน ลบ.ม. (51%) แหล่งน้ำขนาดใหญ่ 23,143 ล้าน ลบ.ม. (48%)
คุณภาพน้ำในแม่น้ำสายหลัก อยู่ในเกณฑ์ปกติทุกสถานีแผนและผล จัดสรรน้ำฤดูแล้ง ปี 2565/2566
4 เขื่อนหลักลุ่มเจ้าพระยา มีแผนสะสมรายวัน 6,906 ล้าน ลบ.ม.(73%) มีผลสะสมรายวัน 6,347 ล้าน ลบ.ม. (น้อยกว่าแผน 559 ล้าน ลบ.ม.)
ลุ่มน้ำแม่กลอง มีแผนสะสมรายวัน 3,735 ล้าน ลบ.ม.(65%) มีผลสะสมรายวัน 3,376 ล้าน ลบ.ม. (น้อยกว่าแผน 359 ล้าน ลบ.ม.)
ลุ่มน้ำโขง-ชี-มูล มีแผนสะสมรายวัน 2,767 ล้าน ลบ.ม.(71%) มีผลสะสมรายวัน 2,342 ล้าน ลบ.ม. (น้อยกว่าแผน 425 ล้าน ลบ.ม.)
พื้นที่ EEC มีแผนสะสมรายวัน 264 ล้าน ลบ.ม.(47%) มีผลสะสมรายวัน 162 ล้าน ลบ.ม. (น้อยกว่าแผน 102 ล้าน ลบ.ม.)
กอนช. ติดตามหน่วยงานเตรียมพร้อมรับมือฤดูฝน ปี 2566
วานนี้ (23 มี.ค. 66) ที่ศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ (SWOC)
กรมชลประทาน ได้ประชุมติดตามและหารือเรื่องการกำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 พร้อมด้วยผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ผ่านระบบ Video Conference การประชุมติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานกำจัดวัชพืช
งบรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 โดยมีผลสัมฤทธิ์การกำจัดวัชพืชอยู่ที่ 1,931,594 ตัน คิดเป็นร้อยละ 34.29 ของแผน ครอบคลุมพื้นที่ 13,676 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 40 ของแผน และติดตามข้อมูลผลการสำรวจและตรวจสอบศักยภาพการระบายน้ำของอ่างเก็บน้ำที่อยู่ในความรับผิดชอบของสำนักงานชลประทานที่ 1-17 โดยพบว่า มีการสำรวจและตรวจสอบศักยภาพของอาคารระบายน้ำและระบบระบายน้ำแล้วจำนวน 1,318 โครงการ จากทั้งหมด 1,383 โครงการ
ทั้งนี้ได้มีการหารือในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับแผนงานกำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำที่จำเป็นสำหรับการบริหารจัดการน้ำในฤดูแล้ง ตลอดจนการเร่งรัดการดำเนินงานในการแก้ไขซ่อมแซม ปรับปรุง อาคารระบายน้ำ และระบบระบายน้ำ ของทุกหน่วยงานให้พร้อมใช้งาน เพื่อเตรียมความพร้อม ด้านเครื่องจักร เครื่องมือ และเพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ ก่อนฤดูฝน ปี 2566
กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ ขอรายงานสถานการณ์และการบริหารจัดการน้ำ ประจำวันที่ 24 มี.ค. 2566 ดังนี้
1. ผลการดำเนินงานตาม 10 มาตรการ รองรับสถานการณ์ขาดแคลนน้ำ ฤดูแล้ง ปี 2565/66
1.1 กรมทรัพยากรน้ำบาดาล ลงพื้นที่ติดตามผลการเจาะบ่อบาดาล ตามโครงการสำรวจและจัดทำแผนที่ศักยภาพน้ำบาดาลสำหรับบริหารจัดการน้ำบาดาลพื้นที่แล้งซ้ำซากแอ่งหนองฝ้าย ณ บ้านท่าเยี่ยม ตำบลหนองฝ้าย อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี และติดตามโครงการจัดหาน้ำบาดาลขนาดใหญ่แก้ปัญหาภัยแล้ง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ณ บ้านปากชัดหนองบัว ตำบลหนองฝ้าย อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี
1.2 กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ปฏิบัติการฝนหลวง 3 หน่วยปฏิบัติการ ในพื้นที่ จ.แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ตาก อุดรธานี หนองคาย กาฬสินธุ์ น่าน และพื้นที่เหนือเขื่อนสิริกิติ์
2. สภาพอากาศ
ความกดอากาศต่ำเนื่องจากความร้อนปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อนโดยทั่วไปกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวันและมีอากาศร้อนจัดบางพื้นที่ ในขณะที่ลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้ยังคงพัดปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และภาคตะวันออก ทำให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง และภาคตะวันออกมีฝนฟ้าคะนองกับมีลมกระโชกแรงบางแห่ง ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนถึงร้อนจัด รวมถึงระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงที่เกิดขึ้นไว้ด้วย สำหรับลมตะวันออกเฉียงใต้และลมตะวันตกเฉียงเหนือพัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามัน ทำให้ภาคใต้มีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง
3. แหล่งน้ำทั่วประเทศ
3.1 แหล่งน้ำทั่วประเทศ มีปริมาณน้ำใช้การ 29,427 ล้าน ลบ.ม. (51%) แบ่งเป็น แหล่งน้ำขนาดใหญ่ 38 แห่ง ปริมาณน้ำใช้การ 23,145 ล้าน ลบ.ม. (48%) ขนาดกลาง 369 แห่ง ปริมาณน้ำใช้การ 3,148 ล้าน ลบ.ม. (62%) และขนาดเล็ก 139,903 แห่ง ปริมาณน้ำใช้การ 3,135 ล้าน ลบ.ม. (62%)
3.2 พื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา 4 เขื่อนหลัก (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยฯ และเขื่อนป่าสักฯ) ปริมาณน้ำใช้การ 8,702 ล้าน ลบ.ม. (48%)
4. การบริหารจัดการน้ำ การสร้างการรับรู้และประชาสัมพันธ์
กรมชลประทาน และโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ ลงนามข้อตกลงความร่วมมือโครงการเสริมสร้างความสามารถในการรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในลุ่มน้ำของประเทศไทย ด้วยการบริหารจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพและการเกษตรแบบยั่งยืน โดยโครงการดังกล่าวฯ จะช่วยสนับสนุนกระบวนการบริหารจัดการน้ำ โดยคำนึงถึงการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และสนับสนุนช่วยเหลือเกษตรกร ด้วยการสร้างความสมบูรณ์ของโครงสร้างพื้นฐานด้านการจัดการน้ำ และใช้มาตรการปรับตัวโดยอาศัยระบบนิเวศ เป็นการสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร ที่จะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันภาคการเกษตรด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมไปถึงการบริหารจัดการทรัพยากรการเกษตรและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลและยั่งยืนต่อไป