PIN โชว์ผลงาน 9 เดือนแรกปีนี้ ทำรายได้จากการดำเนินงาน 565 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41.5%
บมจ.ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค หรือ PIN โชว์ผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกปีนี้ ทำรายได้จากการดำเนินงาน 565.2 ล้านบาท เติบโต 41.5% และมีกำไรสุทธิ 109.4 ล้านบาท หลังไตรมาส 3/65 เร่งทยอยโอนที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น ขณะที่กลุ่มธุรกิจ Recurring Income เติบโตตามกิจกรรมการผลิตของฐานลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรม รับจังหวะเศรษฐกิจฟื้นตัว พร้อมตุน Backlog โอนที่ดินให้ลูกค้าในโค้งสุดท้ายอีกประมาณ 176 ไร่ มั่นใจทั้งปีเติบโตตามแผน
นายพีระ ปัทมวรกุลชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค จำกัด (มหาชน) หรือ PIN เปิดเผยถึงภาพรวมการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค. -ก.ย. ) บริษัทฯ มีรายได้จากการดำเนินงานรวม 565.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 109.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.5% หากเทียบกับงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งปัจจัยความสำเร็จมาจากการขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทองที่เพิ่มขึ้น 65.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ขณะเดียวกัน กลุ่มธุรกิจ Recurring Income ที่ประกอบไปด้วย รายได้จากการให้บริการเช่าโรงงานและคลังสินค้าในนิคมอุตสาหกรรม ค่าบริการพื้นที่ส่วนกลางและระบบสาธารณูปโภคภายในโครงการยังมีอัตราการขยายตัวที่ตามกิจกรรมการผลิตที่เพิ่มขึ้น ภายหลังจากเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้มีสัดส่วนรายได้กลุ่มธุรกิจ Recurring Income เพิ่มขึ้น 2.8%
ปัจจุบัน บริษัทฯ ยังมี Backlog (ยอดขายรอรับรู้รายได้) ที่อยู่ระหว่างการรอโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ลูกค้าประมาณ 176 ไร่ และอยู่ระหว่างการเจรจากับลูกค้าที่ใกล้จะปิดดีลได้อีกประมาณ 60 ไร่ นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างการเจรจากับลูกค้ามากกว่าสิบราย โดยคาดว่าจะทยอยโอนที่ดินบางส่วนในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ทำให้บริษัทฯ มั่นใจว่าจะผลักดันยอดขายที่ดินปีนี้เติบโตตามแผน
ส่วนแผนดำเนินงานในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ บริษัทฯ จะเร่งปิดการขายให้ยอดขายที่ดินเป็นไปตามเป้าหมาย และ เน้นการสื่อสารถึงจุดเด่นโครงการนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทองให้กลุ่มลูกค้า โดยตอกย้ำจุดเด่นด้านทำเลที่ตั้งในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษตะวันออก หรือ EEC และการให้บริการที่เกี่ยวข้องแบบ One-Stop service เช่น การขอใบอนุญาตก่อสร้าง การขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าต่างชาติ โดยมองเห็นสัญญาณบวกของกลุ่มนักลงทุนที่เริ่มกลับมาลงทุนอย่างชัดเจน โดยลูกค้าที่อยู่ระหว่างเจรจาในช่วงนี้จะเป็นผู้ประกอบการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า ทั้งกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วน อะไหล่ รวมถึงแบตเตอรี่ และ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ที่ต้องการเข้ามาตั้งฐานการผลิตเพิ่มเติม ส่วนรายได้กลุ่มธุรกิจ Recurring Income มีเจรจากับลูกค้าที่สนใจเช่าอาคารโรงงานอีกกว่า 20,000 ตร.ม. จึงทำให้มั่นใจว่าเป้าหมายภาพรวมการดำเนินงานในปีนี้จะขยายตัวได้ตามแผนที่วางไว้