ดัชนีความเชื่อมั่นฟื้นตัวเดือน ก.ย.แตะ 91.8%
ดัชนีเชื่อมั่นอุตฯ ฟื้น 4 เดือนติด แต่ยังกังวลต้นทุนพลังงาน หวั่นกระทบภาคการผลิต-ขนส่ง
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ประจำเดือนก.ย.2565 อยู่ที่ระดับ 91.8 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 90.5 ในเดือนสิงหาคม โดยปรับตัวเพิ่มขึ้น ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ทั้งนี้องค์ประกอบดัชนีฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบทุกรายการยกเว้นต้นทุนประกอบการ แต่อย่างไรก็ตามค่าดัชนีฯยังต่ำกว่าระดับ 100 สะท้อนความเชื่อมั่นผู้ประกอบการอุตสาหกรรมยังอยู่ในระดับที่ไม่ดี
ปัจจัยที่ส่งผลด้านบวกต่อค่าดัชนีฯ ได้แก่ การฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศภายหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลงทำให้ภาครัฐยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) ทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร และยุติศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ(ศบค.)ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจทยอยฟื้นตัวต่อเนื่องโดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ขณะที่การบริโภคในประเทศมีทิศทางดีขึ้นโดยมีปัจจัยสนับสนุนจากรายได้ภาคเกษตรที่เพิ่มขึ้นรวมถึงมาตรการภาครัฐ เช่น โครงการคนละครึ่งเฟส 5 มาตรการดูแลราคาพลังงาน ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายและเพิ่มกำลังซื้อให้ประชาชน ขณะที่ภาคการผลิต มีทิศทางที่ดีขึ้นโดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภค เครื่องจักรกลฯ วัสดุก่อสร้าง นอกจากนี้ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง ช่วยสนับสนุนภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว
แต่อย่างไรก็ตาม ความเชื่อมั่นด้านต้นทุนยังอยู่ในระดับต่ำเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับราคาพลังงาน ทั้งราคาน้ำมันดีเซล ก๊าซธรรมชาติ และค่าไฟฟ้า รวมทั้งราคาวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตและค่าขนส่ง ขณะที่สถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ ส่งผลกระทบต่อคมนาคมและขนส่งสินค้า ด้านการส่งออกอุปสงค์ในตลาดโลกเริ่มชะลอลง เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญ อาทิ สหรัฐฯ จีน ยุโรป ตลอดจนปัญหาเงินเฟ้อที่มีผลกระทบจากสถานการณ์สงครามรัสเซีย – ยูเครน ขณะที่จีนยังคงดำเนินนโยบาย Zero Covid อย่างต่อเนื่องทำให้ปัญหา Supply Shortage ยังไม่คลี่คลายส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตทั่วโลก
จากการสำรวจผู้ประกอบการ 1,274 ราย ครอบคลุม 45 กลุ่มอุตสาหกรรมของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยในเดือนก.ย. 2565 พบว่า ปัจจัยที่ผู้ประกอบการมีความกังวลเพิ่มขึ้นได้แก่ สภาวะเศรษฐกิจโลก 77.4% สถานการณ์การเมือง 45.5% อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ร้อยละ 37.8 ตามลำดับ ปัจจัยที่มีความกังวลลดลง ได้แก่ ราคาน้ำมัน 60.3% เศรษฐกิจในประเทศ 42.5% อัตราแลกเปลี่ยน (มุมมองผู้ส่งออก) โดยอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ 35.8% และสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 34.2% ตามลำดับ
สำหรับดัชนีฯคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 101.8 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 99.5 ในเดือนสิงหาคม ทั้งนี้ผู้ประกอบการคาดว่าเศรษฐกิจในประเทศจะมีทิศทางที่ดีขึ้นต่อเนื่อง จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคในประเทศ เป็นสำคัญ แต่อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยเสี่ยงด้านต้นทุนประกอบการที่ปรับตัวสูงขึ้นโดยเฉพาะการปรับขึ้นอัตราจ้างขั้นต่ำ รวมทั้งราคาน้ำมันที่ยังผันผวน ขณะที่เศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอนสูงซึ่งอาจกระทบการส่งออก และเป็นปัจจัยกดดันต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2565
ข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ
1. มาตรการบรรเทาผลกระทบปัญหาด้านต้นทุนการผลิตให้กับผู้ประกอบการ อาทิ การดูแลราคาพลังงาน ค่าขนส่ง ค่าสาธารณูปโภคต่างๆ ตลอดจนเร่งแก้ไขปัญหาราคาวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้นและการขาดแคลนวัตถุดิบ
2. มาตรการดูแลและเยียวยาผู้ประกอบการและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาอุทกภัย อาทิ โครงการพักชำระหนี้กับสถาบันทางการเงินต่างๆ รวมทั้งสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) เพื่อการฟื้นฟูกิจการหลังน้ำท่วม
3. ดูแลค่าเงินบาทให้มีความสมดุลมากขึ้น เพื่อประโยชน์ต่อทั้งผู้นำเข้าและผู้ส่งออก
4. ออกมาตรการรณรงค์ประหยัดการใช้ไฟฟ้าและพลังงาน อย่างจริงจังและเป็นรูปธรรม
5. เร่งยกระดับและพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย (Competitiveness) เช่น การปฏิรูปกฎหมาย (Regulatory Guillotine) การปรับปรุงขั้นตอนการอนุมัติอนุญาตของราชการ การนำระบบ Digital มาใช้ และการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม เป็นต้น
ทั้งนี้ สภาอุตสาหกรรมฯ ได้ทำการรวบรวมข้อมูลผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม และข้อมูลตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมจากหน่วยงานต่างๆ ย้อนหลัง 3 ปี จัดทำเป็น Dashboard เผยแพร่ในเว็บไซต์ศูนย์ข้อมูลภาคเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม Industry Data Space (iDS) ของสภาอุตสาหกรรมฯ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการและบุคคลทั่วไปให้สามารถเข้าถึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการดำเนินธุรกิจ โดยสามารถเข้าไปใช้บริการข้อมูลดังกล่าวได้ที่ www.fti.or.th/ids
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยมุ่ง “เสริมสร้างความเข็มแข็งให้อุตสาหกรรมไทย เพื่อประเทศไทยที่เข้มแข็งกว่าเดิม (Strengthen Thai Industries for Stronger Thailand) ”