“ธนารักษ์” ดอดลงนาม “วงษ์สยาม”
“ประภาศ” ลั่นพร้อมรับผิดชอบไม่ยอมให้รัฐเสียหายอีกแล้ว หลังศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งไม่คุ้มครองชั่วคราว ด้าน “วงษ์สยาม” หั่นค่าน้ำอุปโภคบริโภคเหลือ 9.50 บาท จาก 9.90 บาท ชี้ค่าน้ำภาคอุตสาหกรรม คิดไม่เกิน 12.40 บาท
นายประภาศ คงเอียด อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า วันนี้ (23 ก.ย.65) กรมธนารักษ์ได้ทำการเซ็นสัญญากับ บริษัทวงษ์สยามก่อสร้าง จำกัด ในฐานะผู้ชนะประมูลโครงการบริหารและดำเนินกิจการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออกหรือ ท่อน้ำอีอีซี หลังศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยกคำฟ้องคำร้องคุ้มครองชั่วคราวเมื่อวานนี้ (22 ก.ย.)
ทั้งนี้ กรมฯมีความพร้อมที่จะดำเนินการเซ็นสัญญาดังกล่าว หลังจากที่ได้มีการเลื่อนการเซ็นสัญญาไปแล้ว 2 ครั้ง โดยครั้งแรกในเดือนพ.ค.2565 หลังจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสั่งให้มีการตรวจสอบความโปร่งใสในการประมูล และ ครั้งที่สองในเดือน ส.ค.2565 หลังศาลปกครองกลางมีคำสั่งฉุกเฉินให้ระงับการเซ็นสัญญา
“เรามีความพร้อมในการเซ็นสัญญาทันที เพราะเราได้เตรียมการเซ็นสัญญามาแล้วถึง 2 ครั้ง เมื่อศาลปกครองสูงสุดยกคำร้องการคุ้มครองชั่วคราว ซึ่งก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องชะลอการลงนาม และถ้าหากไม่เซ็นสัญญา รัฐก็จะเสียประโยชน์ รวมถึงเอกชนที่เป็นชนะการประมูลด้วย”
นายประภาศ กล่าวด้วยว่า การดำเนินโครงการประมูลครั้งนี้ เป็นการดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างครบถ้วน โดยปฎิบัติตามการพิจารณาของคณะกรรมการที่ราชพัสดุ ทั้งนี้ การเซ็นสัญญาดังกล่าวถือเป็นมติในการผูกพันการดำเนินโครงการระหว่างกรมฯกับบริษัท แต่บริษัทยังไม่สามารถเข้าไปบริหารโครงการได้ โดยจะเข้าไปดำเนินการบริหารได้ต่อเมื่อมีการส่งมอบทรัพย์สินให้แก่บริษัทแล้ว
โดยนับจากนี้ กรมฯ จะส่งหนังสือไปยังบริษัทอีสวอเตอร์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้บริหารโครงการในปัจจุบันให้ดำเนินการส่งมอบพื้นที่ให้แก่กรมฯ โดยเฉพาะท่อส่งน้ำที่ไม่มีสัญญาเช่า คือ โครงการท่อส่งน้ำหนองปลาไหล-หนองค้อ และ หนองค้อ-แหลมฉบังระยะที่ 2 ส่วนโครงการท่อส่งน้ำดอกกราย ซึ่งมีสัญญาเช่านั้น จะสิ้นสุดสัญญาในวันที่ 31 ธ.ค.2566
สำหรับการประมูลโครงการท่อส่งน้ำอีอีซีดังกล่าว มีระยะเวลการเช่าจำนวน 30 ปี ให้ผลตอบแทนแก่รัฐรวมประมาณ2.5 หมื่นล้านบาท โดยแบ่งเป็น 1.ค่าแรกเข้าจำนวน 1,450 ล้านบาท ชำระครั้งแรกในการเซ็นสัญญาจำนวน 580 ล้านบาท และเมื่อส่งมอบทรัพย์สินอีก 870 ล้านบาท 2.ผลประโยชน์ตอบแทนรายปีๆละ 2,908 ล้านบาท และ 3.ส่วนแบ่งรายได้รายปีๆละ 21,335 ล้านบาท
“สำหรับในวันนี้กรมฯ จะได้รับเงินทันทีจากค่าแรกเข้า 580 ล้านบาท ผลประโยชน์ตอบแทนรายปี 44 ล้านบาท และหลักทรัพยประกัน 118 ล้านบาท หากคิดเฉพาะรายได้เราจะมีเงินเข้าหลวงกว่า 620 ล้านบาท”
ทั้งนี้ ในแง่ความเสียหายในช่วงที่กรมฯไม่สามารถดำเนินการเซ็นสัญญากับวงษ์สยามก่อสร้างได้ กรมฯจะดำเนินการฟ้องร้องกับอีสวอเตอร์ในฐานะผู้ร้องหรือไม่นั้น กรมฯจะต้องพิจารณาและหารือกับอัยการสูงสุดก่อน
อย่างไรก็ดี ขณะนี้ ยังมีคดีที่อีสวอเตอร์ฟ้องร้องต่อศาลในเรื่องของการยกเลิกกระบวนการคัดเลือกครั้งที่ 1 และ การคัดเลือกผู้ชนะการประมูลในครั้งที่ 2 ซึ่งหากศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งเห็นด้วยกับคำฟ้องร้องนั้น การเซ็นสัญญากับวงษ์สยามจะต้องถือเป็นโมฆะ แต่กรมฯไม่ต้องรับผิดชอบความเสียหายแก่บริษัทวงษ์สยามที่ได้เข้ามาดำเนินโครงการเพราะในสัญญาได้เขียนไว้ชัดเจนแล้ว
ด้านนายอนุฤทธิ์ เกิดสินธ์ชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท วงษ์สยาม ก่อสร้าง จำกัด กล่าวว่า การลงนามในสัญญาโครงการบริหารละดำเนินกิจการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก กับกรมธนารักษ์ วันนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการทำงานร่วมกัน โดยโครงการดังกล่าว แบ่งออกเป็น 3 โครงการ ประกอบด้วย โครงการท่อส่งน้ำดอกกราย, โครงการท่อส่งน้ำหนองปลาไหล-หนองค้อ และโครงการท่อส่งน้ำหนองค้อ-แหลมฉบับ ระยะที่ 2 โดยการลงนามในวันนี้ จ่ายเงินค่าแรกเข้า 580 ล้านบาท ส่วนอีก 870 ล้านบาท จะจ่ายเมื่อวงษ์สยามฯ ได้เข้าไปดำเนินการบริหารโครงการอย่างเป็นทางการ
ทั้งนี้ วงษ์สยามฯ มีความพร้อมที่จะดำเนินการตามสัญญา ซึ่งขณะนี้ได้สั่งนำเข้าอุปกรณ์เพื่อดำเนินการตามสัญญาไว้หมดแล้ว เมื่อกรมธนารักษ์ส่งมอบทรัพย์สิน ก็พร้อมจ่ายน้ำให้กับผู้ใช้น้ำ ในเบื้องต้นได้ลงนามบันทึกข้อตกลงเบื้องต้นกับการประปาภูมิภาค (กปภ. )แล้ว จะคิดค่าน้ำสำหรับอุปโภค-บริโภคในอัตรา 9.50 บาทต่อลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม) ตลอดอายุสัญญา 30 ปี ซึ่งถูกกว่าสัญญาปัจจุบันที่ขายน้ำให้กับกฟภ.ที่ 9.90 บาทต่อลบ.ม.
ขณะที่การจำหน่ายน้ำให้กับภาคอุตสาหกรรม ราคาน้ำจะไม่เกิน 12.40 บาทต่อลบ.ม.ตลอดอายุสัญญา 30 ปีเช่นกันจากปัจจุบันผู้ใช้น้ำภาคอุตสาหกรรมจ่ายค่าน้ำแตกต่างกันมีตั้งแต่ 11-26 บาทต่อลบ.ม. ดังนั้นเมื่อวงษ์สยาม ได้เข้ามาเป็นผู้จ่ายน้ำอย่างเป็นทางการ จะปรับค่าน้ำให้กับภาคอุตสาหกรรมเหลือไม่เกิน 12.40 บาทต่อลบ.ม. ซึ่่งได้ประสานผู้ใช้น้ำภาคอุตสาหกรรมไว้เบื้องต้นแล้ว
“วงษ์สยาม จะไม่ขึ้นราคาค่าน้ำ ยกเว้นจะมีการแก้ไขประกาศของกรมชลประทาน ตาม พ.ร.บ.กรมชลประทาน ปรับเพิ่มขึ้นค่าน้ำดิบ ก็จำเป็นต้องปรับขึ้นค่าน้ำเช่นกัน โดยไม่นำปัจจัยค่าครองชีพ ต้นทุนที่สูงขึ้นมาพิจารณา เพราะตลอดอายุสัญญา วงษ์สยามจะไม่ขึ้นค่าน้ำมัน ยกเว้นกรณีดังกล่าวเท่านั้น” นายอนุฤทธิ์ กล่าว
นายอนุฤทธิ์ กล่าวด้วยว่า สำหรับกรณีที่มีการฟ้องร้องและคดียังอยู่ในการพิจารณาศาล เกี่ยวกับขบวนการประมูลไม่เป็นธรรม ไม่โปร่งใสนั้น หากส่วนใดที่เกี่ยวข้องกับวงษ์สยามฯ ก็พร้อมชี้แจงตามเอกสารหลักฐานครบถ้วน ส่วนกรณีที่มีการไปยื่นฟ้องต่อคณะกรรมการป้องกันปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ทางกรมธนารักษ์ ต้องไปชี้แจง ไม่เกี่ยวกับวงษ์สยาม แต่หาก ป.ป.ช. ให้วงษ์สยามไปชี้แจง ก็พร้อมชี้แจงเช่นเดียวกัน