หากแบงก์เลื่อนการปรับขึ้นดอกเบี้ย…ผลกระทบต่อระบบแบงก์ไทย
สัญญาณจากผลการประชุม กนง. เดือนมิ.ย. ที่ผ่านมา สะท้อนว่า ไทยคงเข้าใกล้จังหวะการเริ่มปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบายแล้ว และจากแรงกดดันเงินเฟ้อของไทยที่อยู่ในระดับสูงทำให้น่าจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปีนี้และเพิ่มเติมอีกในช่วงต้นปี 2566
อย่างไรก็ตาม ในสภาวะที่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอนสูงดังเช่นปัจจุบัน ทำให้คาดว่าจะเห็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำก่อน (หรือปรับขึ้นภายหลังจากที่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายไม่นาน) ขณะที่การปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้มาตรฐานมีโอกาสเลื่อนจังหวะเวลาออกไปเพื่อช่วยเหลือลูกค้า
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า การเลื่อนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้มาตรฐานออกไป 3-6 เดือน จะส่งผลกระทบต่อส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยในปี 2565 ประมาณ 0.04-0.06% และกระทบปี 2566 ประมาณ 0.08-0.18% เมื่อเทียบกับกรณีที่กำหนดให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำและเงินกู้ปรับขึ้นตามอัตราดอกเบี้ยนโยบายในภาวะปกติ
ท่ามกลางแรงกดดันเงินเฟ้อในประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการอ่อนค่าของเงินบาท ทำให้ไทยคงเข้าใกล้จังหวะการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบายมากแล้ว โดยในช่วงที่เหลือของปี 2565 กนง.ยังเหลือการประชุมนโยบายการเงินอีก 3 ครั้ง คือ ในเดือนสิงหาคม กันยายน และพฤศจิกายน ซึ่งคาดว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยประมาณ 0.50-0.75% มาที่ 1.00-1.25% ภายในช่วงสิ้นปีนี้ ก่อนที่ยังมีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมอีกในช่วงต้นปี 2566
สำหรับธนาคารพาณิชย์นั้น สถานการณ์การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ยังไม่เต็มที่และไม่ทั่วถึง ผนวกกับยังมีลูกหนี้ที่เคยขอรับความช่วยเหลือทางการเงิน และยังอยู่ระหว่างการปรับตัวในช่วงของการเปลี่ยนผ่านนี้อีกจำนวนมากนั้น คงทำให้เผชิญแรงกดดันต่อการเลื่อนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยเฉพาะอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ออกไป ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ประเมินผลกระทบเบื้องต้นต่อส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (Net Interest Margin: NIM) ของระบบธนาคารพาณิชย์ไทย ดังนี้
สมการการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย มีผลกระทบโดยตรงต่อแนวโน้มส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระบบธนาคารไทย โดยเฉพาะในปี 2566 ทั้งนี้ ในภาวะปกติ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำและเงินให้กู้ยืมพร้อมๆกัน จะส่งผลบวกต่อส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ เนื่องจากสัดส่วนสินเชื่อประมาณ 55-70% ของสินเชื่อรวมทั้งหมดจะอ้างอิงอัตราดอกเบี้ยลอยตัว (ขึ้นกับโครงสร้างพอร์ตสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่ง) จึงทำให้ได้รับประโยชน์ทันทีในไตรมาสที่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้มาตรฐานอย่างเช่น MOR, MLR และ MRR ขณะที่ อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำในปัจจุบัน มีสัดส่วนประมาณ 25% ของเงินฝากทั้งหมด โดยธนาคารพาณิชย์จะทยอยรับรู้ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นหลังเงินฝากประจำล็อตเดิมครบกำหนด นั่นคือ อีก 3, 6, 12 เดือนข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม ในสภาวะที่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอนสูงดังเช่นปัจจุบัน ทำให้คาดว่าจะเห็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำก่อน หรือภายหลังจากมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายไม่นาน ขณะที่การปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้มาตรฐานข้างต้น มีโอกาสเลื่อนออกไป เพื่อช่วยเหลือลูกค้า แม้ว่าในทางปฏิบัติ การกำหนดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่ง จะขึ้นอยู่กับโครงสร้างฐานลูกค้า สภาพคล่อง และกลยุทธ์ทางธุรกิจที่แตกต่างกันก็ตาม
ในกรณีที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้มาตรฐานเลื่อนออกไป 3-6 เดือน ผลกระทบต่อส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยจะปรากฏชัดเจนในปี 2566 เนื่องจากต้องทยอยรับรู้ต้นทุนเงินฝากประจำที่ทยอยปรับเพิ่มขึ้นตามการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากในช่วงไตรมาส 3-4 ของปี 2565 ทั้งนี้ หากเทียบกับกรณีที่กำหนดให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำและเงินกู้ปรับขึ้นตามอัตราดอกเบี้ยนโยบายในภาวะปกติแล้ว จะพบว่า การเลื่อนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้มาตรฐานออกไป 3-6 เดือน จะส่งผลกระทบต่อส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยในปี 2565 ประมาณ 0.04-0.06% และกระทบปี 2566 ประมาณ 0.08-0.18% ตามลำดับ
ขณะที่ หากระบบธนาคารพาณิชย์มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยออมทรัพย์ แม้จะด้วยการปรับขึ้นในขนาดไม่มากนัก (สมมติให้ปรับขึ้น 0.125% ในช่วงที่เหลือของปี 2565) แต่ผลกระทบต่อส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้นมาที่ประมาณ 0.05-0.07% ในปี 2565 และ 0.15-0.25% ในปี 2566 ทำให้สุดท้ายแล้ว แนวโน้มส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยในกรณีนี้ แทบจะไม่แตกต่างไปจากที่เห็นในปี 2564 ที่ 2.54% และต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดวิกฤตโควิดที่ 2.78% อย่างมีนัยสำคัญ
ความกังวลเพิ่มเติมจะอยู่ที่คุณภาพสินทรัพย์ เนื่องจากการเลื่อนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในปี 2565 จะไปเพิ่มแรงกดดันการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2566 ซึ่งเป็นจังหวะที่อัตราเงินนำส่งจากสถาบันการเงินเข้ากองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) จะต้องถูกปรับขึ้นอีก 0.23% กลับสู่ระดับปกติที่ 0.46% ทำให้อาจเห็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในประเทศดูเสมือนว่าจะปรับขึ้นแรงกว่าที่ควรจะเป็น และอาจกระทบต่อธุรกิจและครัวเรือนที่ยังไม่ได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวหรือเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ ขณะเดียวกัน การยืนอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ท่ามกลางภาวะที่อัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงินอื่นๆ ปรับขึ้นแล้ว อาจสร้างแรงจูงใจให้ลูกหนี้ทั้งที่มีความเสี่ยงปกติและความเสี่ยงสูงเข้ามากู้ธนาคารพาณิชย์เพิ่มเติม ซึ่งหากมีส่วนผสมจากลูกหนี้กลุ่มหลังมากขึ้น ก็อาจส่งผลต่อคุณภาพพอร์ตสินเชื่อในภาพรวมได้
นอกจากนี้ ในเดือนเม.ย. 2566 จะเป็นจังหวะที่ธุรกิจที่เข้าโครงการสินเชื่อฟื้นฟูจะเริ่มทยอยถูกปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จากเดิมที่จ่ายดอกเบี้ยไม่เกิน 2% ต่อปีในช่วง 2 ปีแรกของสัญญา (แม้จะไม่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้มาตรฐาน เพราะเป็นลูกค้าที่อยู่ภายใต้เงื่อนไขของโครงการสินเชื่อฟื้นฟู) ขณะที่ มาตรการให้ความช่วยเหลือทางการเงินอย่างเช่น โครงการพักทรัพย์พักหนี้ก็จะสิ้นสุดกำหนดการรับเรื่องขอเข้าร่วมโครงการเช่นกัน
โดยสรุป ด้วยเงื่อนไขเศรษฐกิจที่การฟื้นตัวยังมีความเปราะบาง เช่นเดียวกับสถานะทางการเงินของลูกหนี้ ทำให้ธนาคารพาณิชย์ไทยอยู่ภายใต้แรงกดดันมากขึ้นในการช่วยเหลือลูกค้าผ่านการเลื่อนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ออกไปนั้น คงทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยได้รับผลกระทบอย่างยากจะหลีกเลี่ยง โดยเฉพาะในปี 2566 ขณะที่แรงกดดันต่อการขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่จะเพิ่มขึ้นในปีหน้า จากทั้งส่วนที่เลื่อนการขึ้นออกไป และผลกระทบจากการปรับเพิ่มอัตราเงินนำส่งกองทุนฟื้นฟูฯ อาจทำให้เห็นภาพการปรับขึ้นของต้นทุนดอกเบี้ยเงินกู้ยืมที่ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งทำให้ยังต้องติดตามผลกระทบต่อคุณภาพหนี้อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันภาครัฐอาจต้องเตรียมมาตรการดูแลลูกหนี้กลุ่มเปราะบางเพิ่มเติมหากพบสัญญาณลบชัดเจนขึ้นด้วย