การเมืองรื้อใหญ่โควตาสลากองค์กรการกุศล
ในที่สุดฝ่ายการเมือง ก็พบแล้ว ต้นต่อของการจำหน่ายสลากเกินราคา ทั้งที่สำนักงานสลากฯ รู้เห็นเรื่องดังกล่าว มานานแล้ว แต่ไม่มีใครกล้าเข้าไปแตะต้อง เพราะมันคือขุมทรัพย์ก้อนมหึมาของผู้มีอิทธิพลที่อยู่เหนือสำนักงานสลากฯ มาตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา นั่นก็คือ โควตาสลากขององค์กรการกุศล ซึ่งประกอบการมูลนิธิและสมาคมคนพิการต่างๆ ที่มีโควตาอยู่ในมือคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 31% หรือ 31 ล้านฉบับ จากยอดพิมพ์ 100 ล้านฉบับต่องวด แถลงล่าสุด ได้รับการยืนยันจาก “ชาญกฤช” แล้วว่า จะต้องรื้อโควตาองค์กรการกุศล แล้วนำมาจัดสรรใหม่อย่างแน่นอน
ทีมการเมือง ที่ได้รับการแต่งตั้งจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการแก้ไขการจำหน่ายสลากเกินราคา ได้วางแผนระยะปานกลางในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่าเด็ดขาดแล้ว โดยจะรื้อโควตาสลาก ในฝั่งขององค์กรการกุศล และหน่วยงานต่าง เช่น สมาคมคนพิการ และโควตาของผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ (งบพิเศษ) ที่มีสัดส่วนประมาณ 31% ของยอดพิมพ์สลากทั้งหมด 100 ล้านฉบับต่องวด หรือประมาณ 31 ล้านฉบับ นำมาจัดสรรใหม่ และกระจายให้ถือมือผู้ผู้ค้าสลากรายยย่อยตัวจริงกว่า 200,000 ราย
ล่าสุด นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกในฐานะประธานอนุกรรมการการศึกษาแนวทาง และมาตรการแก้ไขปัญหาสลากฯ เกินราคา ได้แถลงที่สำนักงานสลากฯ อีกครั้ง เมื่อวันที่ 11 เม.ย.65 ถึงแนวทางการแก้ไขสลากเกินราคา ซึ่งขณะนี้ ยังคงยืนยันที่จะดำเนินการตามแผนงาน 3 เรื่อง ประกอบด้วย 1.การเพิ่มจุดตรึงราคา 80 บาท จากปัจจุบันมีอยู่แล้ว 151 จุด เพิ่มขึ้นเป็น 1,000 จุด กระจายไปใน 77 จังหวัด 2.การคัดเลือกผู้สลากตัวจริง จำนวน 200,000 ราย จากจำนวนผู้สมัครประมาณ 1 ล้านคน และ3.เรื่องสุดท้ายคือ การขายสลากผ่านแอพพลิเคชั่น “เป๋าตัง” ของธนาคารกรุงไทย
นายชาญกฤช กล่าวว่า แผนงานทั้งหมดนี้ จะใช้ระยะเวลาสั้นๆ ในการดำเนินงานคือ ไม่เกิน 3 เดือนจากนี้ไป โดยจะต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้น และเปิดจำหน่ายสลากผ่านแอพฯ เป๋าตังได้ในงวดวันที่ 16 มิ.ย.นี้ ส่วนแผนงานระยะต่อไป ถือเป็นเรื่องระยะปานกลาง คงจะใช้เวลาอีก 3-6 เดือนจากนี้ไป เพื่อรื้อโควตาสลากทั้งหมด
ในปัจจุบัน สำนักงานสลากฯ ได้พิมพ์สลากออกมาจำหน่ายทั้งหมด 100 ล้านฉบับ ทุกๆ 15 วัน หรือเดือนละ 2 ครั้ง ซึ่งในจำนวนนี้ สำนักงานสลากฯ ได้กระจายสลากส่วนใหญ่ หรือประมาณ 69% ไปยังผู้ค้าสลากรายย่อยอยู่แล้ว แต่ยังมีอีก 31% ที่ถูกกระจายไปยังองค์กรการกุศลเช่น องค์การทหารผ่านศึกรวมถึงหน่วยงานต่างๆ ภายในส่วนราชการ เพื่อนำไปใช้เป็นงบเลี้ยงรับรองของผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ
โดยตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ปัญหาของการรวมเลข การปั่นราคาขายสลากที่สูงเกินจริง และเกินกว่าราคาที่สำนักงานสลากฯ กำหนดมีปัญหาหลักๆ มาจากโควตาที่สำนักงานสลากฯ ได้จัดสรรออกไป แต่ถูกนำกลับมารวมเป็นเลขชุด ผ่านหลายองค์กรทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็กรวมถึงผู้ค้าสลากย่อย เรียกว่า “กินหัวคิวกันเป็นทอดๆ” ทำให้ราคาสลากแพงขึ้น จากฉบับละ 80 บาท ขึ้นมาเป็นฉบับละ 100-120 บาท
ดังนั้น ชุดทำงานของ นายชาญกฤช ซึ่งได้รับสั่งจากนายกรัฐมนตรีในการปราบสลากเกินราคา จึงเข้ามาตรวจสอบกิจการภายในของสำนักงานสลากฯ และได้พบเห็นช่องโหว่ที่สำคัญของเรื่องทั้งหมด ซึ่งถือเป็นต้นต่อสำคัญของการจำหน่ายสลากเกินราคา เนื่องจากผู้ค้าฯ ที่ได้รับโควตาบางราย ไม่ได้ขายสลากด้วยตนเอง แต่ได้ส่งต่อสลากให้แก่เอเย่นต์ หรือผู้ค้าสลากรายใหญ่ โดยผูกหัวคิวรับเงินกินเปล่าตลอดทั้งปี
นายชาญกฤช กล่าวยอมรับว่า การแก้ไขสลากเกินราคา ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีบุคคลและหน่วยงานเข้ามาเกี่ยวข้องจำนวนมาก โดยเฉพาะคนพิการที่ได้รับโควตาจากการจำหน่ายสลากฯ ในปัจจุบันจะยินยอมรับเงินอุดหนุนพิเศษจากสำนักงานสลากฯ โดยไม่ต้องเป็นมาเดินขายสลากฯ ตามท้องถนนอีกต่อไปจะได้หรือไม่ เพื่อแลกกับราคาสลากที่ลดลง ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้คือหน้าที่ของผมที่จะรวบรวมและนำประเด็นปัญหาต่างๆ ไปรายงานต่อผู้บังคับชาต่อไป
ทั้งนี้ ในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา คณะทำงานชุดพิเศษของ “แรมโบ้อีสาน” หรือ นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นอีกคณะทำงานในการแก้ราคาสลากแพงได้ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมแพลตฟอร์มมังกรฟ้าและกองสลากพลัส ในการข้อหาจำหน่ายสลากเกินราคา โดยผู้อำนวยการสำนักงานสลากฯ ยืนยันที่จะนำโควตาสลากที่ยึดมาได้กว่า 4 ล้านฉบับ ขายผ่านแอพฯ เป๋าตังในงวดวันที่ 16 มิ.ย.นี้