สรรพากรยอมหั่นรายได้ ขยายเวลาหนุนบริจาคสู้โควิดฯอีก 1 ปี
กรมสรรพากรยอมหั่นรายได้ ขยายเวลาหักลดหย่อนภาษี แก่ “บุคคล-นิติบุคคล” ที่บริจาคเงิน และเว้น Vat ให้ผู้ประกอบการฯ ที่บริจาคสินค้าให้สำนักนายกฯ ออกไปอีก 1 ปี สิ้นสุด 5 มี.ค.65 หวังกระตุ้นทุกภาคส่วนหนุนการปฏิบัติงานทางการแพทย์ คาดสูญรายได้แค่ 5 ล้านบาท
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า กระทรวงการคลัง โดยกรมสรรพากร ได้เสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบหลักการ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการบริจาคเพื่อแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019) เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนและภาคเอกชนได้มีส่วนในการแก้ไขปัญหา สนับสนุนการปฏิบัติภาระกิจเกี่ยวกับการป้องกัน ระงับ ยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 โดยผู้ที่บริจาคให้แก่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (นร.) มีสิทธิหักลดหย่อนหรือหักรายจ่ายทางภาษีดังนี้
1.บุคคลธรรมดาที่บริจาคเงินให้แก่ นร. สามารถนำมาหักเป็นค่าลดหย่อนได้เท่าจำนวนที่บริจาค แต่เมื่อรวมกับเงินบริจาคตามมาตรา 47 (7) แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว ต้องไม่เกินร้อยละสิบของเงินได้พึงประเมินหลังจากหักค่าใช้จ่ายและหักค่าลดหย่อนอื่นๆ แล้ว
2.บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่บริจาคเงินหรือทรัพย์สินให้แก่ นร. สามารถนำมาหักเป็นรายจ่ายได้เท่าจำนวนที่บริจาค แต่เมื่อรวมกับรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะหรือเพื่อการสาธารณประโยชน์ ตามมาตรา 65 ตรี (3) (ข) แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว ต้องไม่เกินร้อยละสองของกำไรสุทธิ
ทั้งนี้ ผู้ที่บริจาคให้แก่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ตาม 1 และ 2 จะต้องบริจาคผ่านระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) ตั้งแต่วันที่ 6 มี.ค.2564 – 5 มี.ค.2565
3.ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่บริจาคสินค้าให้แก่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
“กรมสรรพากรหวังเป็นอย่างยิ่งว่ามาตรการภาษีข้างต้นจะช่วยจูงใจให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจเกี่ยวกับการป้องกัน ระงับ ยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของบุคลากร ทางการแพทย์และสาธารณสุข หน่วยงานของรัฐและภาคเอกชน โดยมาตรการนี้มีส่วนช่วยรักษา ฟื้นฟู เยียวยาและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ตลอดจนผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID–19” อธิบดีกรมสรรพากร สรุป
สอบถามรายละเอียดได้ที่สำนักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศหรือที่ศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161
อนึ่ง การขยายเวลามาตรการรดังกล่าวออกไปอีก 1 ปี คาดว่าจะสูญเสียรายได้ประมาณ 5 ล้านบาท ส่วนการดำเนินมาตรการในช่วง 1 ปีก่อนหน้านี้ (4 มี.ค. 2563-5 มี.ค. 2564) พบว่า มีผู้บริจาคที่เป็นบุคคลธรรมดา 53 ราย ยอดบริจาค 3.96 ล้านบาท และผู้บริจาคที่เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล 64 ราย ยอดบริจาคจำนวน 22.07 ล้านบาท.