พลังงานแก้ไม่ตกปาล์มล้นตลาด
พลังงานยังไม่บังคับใช้ B10 ขณะนี้ หลังค่ายรถไม่รับประกัน แต่พร้อมจูงใจใช้ B20 ในรถบรรทุกหวังช่วยลดสต็อกน้ำมันปาล์มดิบ
นางอุษา ผ่องลักษณา รองอธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน เปิดเผยว่า แนวทางการแก้ไขปัญหาสต็อกน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) ที่มีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้นไปอยู่ระดับ 590,000 ตันสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปีนี้นั้น ด้วยการปรับเพิ่มสัดส่วนผสมภาคบังคับของไบโอดีเซล (B100) ในน้ำมันดีเซล เป็น 10% หรือ B10 ยังไม่สามารถดำเนินการได้ในขณะนี้ จากปัจจุบันที่มีการใช้ในระดับ B7 เนื่องจากผู้ผลิตรถยนต์ให้การรับประกันการใช้น้ำมันดีเซลที่มีสัดส่วนผสมไบโอดีเซลสูงสุดที่ 7% หรือ B7 เท่านั้น
ทั้งนี้ การดำเนินการจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบเนื่องจากจะส่งผลกระทบต่อผู้ใช้รถที่จะไม่ได้รับการรับประกันจากผู้ผลิตรถยนต์ เนื่องจากใช้น้ำมันผิดไปจากที่ระบุไว้ในคู่มือ รวมถึงกรมธุรกิจพลังงาน ได้ร่วมกับกระทรวงคมนาคมในการทดลองใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B10 ในรถไฟ โดยมีผลตอบรับเป็นอย่างดี ซึ่งจะสามารถพัฒนาและขยายผลต่อไปได้ในอนาคตซึ่งจะเป็นการช่วยดูดซับ CPO ออกจากระบบได้อีกส่วนหนึ่งด้วย
อย่างไรก็ตามกระทรวงพลังงาน ได้หาแนวทางในการช่วยเหลือเกษตรกร โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาดำเนินโครงการจำหน่ายน้ำมัน B20 ให้กับรถเฉพาะกลุ่ม เช่น กลุ่มรถบรรทุกขนส่งสินค้า ซึ่งคาดว่าจะสามารถดูดซับ CPO ได้มากขึ้น ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเชิญชวนผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 และผู้ประกอบการรถขนส่งให้เข้าร่วมโครงการ โดยจะได้รับสิทธิพิเศษในการซื้อน้ำมัน B20 ในราคาพิเศษที่ต่ำกว่าราคาจำหน่ายตามท้องตลาดทั่วไป
ส่วนระยะยาวกระทรวงพลังงานได้ดำเนินการศึกษาการปรับปรุงคุณภาพน้ำมัน B10 ซึ่งจะแล้วเสร็จในช่วงปลายปี2561 เพื่อให้กลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ยอมรับ และเพื่อให้ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับแนวทางการบังคับใช้B10 ต่อไปในอนาคต
“การแก้ปัญหาผลผลิตปาล์มน้ำมันอย่างยั่งยืน จำเป็นต้องมีการบูรณาการทั้งระบบ คือตั้งแต่การวางแผนการผลิตให้สอด คล้องกับความต้องการใช้ การดูแลส่งเสริม และพัฒนาการประกอบธุรกิจการผลิตและการค้าปาล์มน้ำมันในประเทศให้มีการแข่งขัน และมีการค้าที่เป็นธรรม รวมถึงจะต้องมีการหาตลาดใหม่ให้แก่ปาล์มน้ำมัน เช่น การส่งเสริมอุตสาหกรรมโอลีโอเคมี เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับปาล์มน้ำมัน และเพื่อรองรับปริมาณผลผลิตที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต”นางอุษา กล่าว
นางอุษา กล่าวว่า สำหรับการแก้ไขปัญหาสต็อก CPO ที่ล้นตลาดนั้น จะมีการดูดซับ CPO ออกจากระบบโดยเร็ว โดยมีเป้าหมายเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาผลผลิตปาล์มน้ำมันให้แก่เกษตรกรของประเทศ โดยระยะสั้นผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ได้ให้ความร่วมมือในการรับซื้อ CPO เพิ่มขึ้นจำนวน 13,500 ตัน และรับซื้อ B100 เพิ่มขึ้น 53.77 ล้านลิตร ขณะเดียวกันผู้ผลิตไบโอดีเซล ก็ให้ความร่วมมือในการเพิ่มกำลังการผลิต B100 จากเฉลี่ยวันละ 4 ล้านลิตร เป็นวันละ 4.8 ล้านลิตร โดยผลผลิตเพิ่มขึ้นรวม 69 ล้านลิตร เทียบเท่า CPO ในปริมาณ 59,866 ตัน แต่ยังไม่สามารถดูดซับ CPO ออกจากตลาดได้ตามต้องการ เพราะผลผลิตปาล์มน้ำมันยังคงทยอยเข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับสถานการณ์ตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะสหภาพยุโรป ได้มีการกีดกันการใช้น้ำมันปาล์มสำหรับใช้เป็นเชื้อเพลิงชีวภาพจากประเทศในกลุ่มอาเซียน และประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นตลาดส่งออกสำคัญได้มีการกีดกัน โดยเพิ่มกำแพงภาษีนำเข้าด้วยเช่นกัน ทำให้การส่งออก CPO จึงเป็นไปได้ค่อนข้างยาก
ทั้งนี้ ในช่วงกลางปี 60 ปริมาณผลผลิตปาล์มน้ำมันได้ออกสู่ตลาดเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ปริมาณ CPO ในระบบมีถึงระดับ 250,000 ตัน มากกว่าระดับปกติ ทำให้ราคาผลผลิตปาล์มน้ำมันตกต่ำเรื่อยมา ทำให้กระทรวงพลังงานได้ปรับการใช้น้ำมันดีเซลจาก B5 เป็น B7 ตั้งแต่เดือนพ.ค.60 เพื่อดูดซับ CPO ในตลาดเพิ่มขึ้น แต่ด้วยปริมาณผลผลิตได้ทยอยอออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง การดูดซับโดยภาคพลังงานจาก B5เป็น B7 ยังไม่ได้ช่วยมากนักจนปัจจุบันระดับปริมาณ CPO ในระบบยังคงสูงอยู่.