กสิกรฯคาดกำไรกลุ่มแบงก์ Q3/63 ลดลง66.5%
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดกำไรสุทธิของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยในไตรมาส 3/63 จะลดลงเหลือ 3.08 หมื่นล้านบาท หรือ -66.5%เมื่อเทียบระยะเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ Q4/63ยังเผชิญความท้าทาย
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่ากำไรสุทธิของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยในไตรมาส 3/63 จะลดลงมาอยู่ที่ระดับประมาณ 3.08 หมื่นล้านบาท หรือ -66.5% YoY เมื่อเทียบกับที่มีกำไรสุทธิสูงถึง 9.16 หมื่นล้านบาทในไตรมาส 3/62 ซึ่งเป็นช่วงที่ธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่งมีกำไรพิเศษจากการขายหุ้นในบริษัทประกันที่ถือหุ้นอยู่ อย่างไรก็ดี กำไรสุทธิที่ระดับดังกล่าวขยับขึ้นเล็กน้อยประมาณ 3.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
เนื่องจากสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่ยังไม่กลับสู่ภาวะปกติยังคงกดดันความสามารถในการทำกำไรของธนาคารพาณิชย์ในไตรมาส 3/63 โดยรายได้ดอกเบี้ยและรายได้ค่าธรรมเนียมมีแนวโน้มลดลงตามการหดตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องในหลายๆ ภาคส่วน นอกจากนี้รายได้ดอกเบี้ยของทั้งระบบธนาคารพาณิชย์ไทยยังได้รับผลกระทบมากขึ้นจากทิศทางขาลงของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตั้งแต่ช่วงปลายปี 62
ขณะที่ภาพรวมสินเชื่อ และ NIM ในไตรมาส 3/63 ชะลอลง พร้อมกับสัญญาณถดถอยลงของคุณภาพสินเชื่อ คาดว่าสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยอาจเติบโตในอัตราชะลอลงมาที่ 4.5-4.8% YoY ในไตรมาส 3/63 จาก 5.1% YoY ในไตรมาส 2/63 เนื่องจากยังต้องประเมินความเสี่ยงด้านเครดิตของลูกค้าที่มาขอสินเชื่อใหม่อย่างระมัดระวัง ประกอบกับมีการทยอยชำระคืนสินเชื่อของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดใหญ่
ส่วน NIM ไตรมาส 3/63 ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับประมาณ 2.65-2.70% จาก 2.73% ในไตรมาส 2/63 โดยเป็นผลต่อเนื่องจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในช่วงก่อนหน้านี้ ประกอบกับสินเชื่อปล่อยใหม่ส่วนใหญ่รวมถึงสินเชื่อรีไฟแนนซ์ในระยะนี้เป็นสินเชื่อที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำลง นอกจากนี้เพดานใหม่สำหรับดอกเบี้ยสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลก็เริ่มมีผลบังคับแล้วตั้งแต่เดือน ส.ค.63 ที่ผ่านมา
ด้านคุณภาพสินเชื่อ คาดว่าสัดส่วน NPLs ของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยในไตรมาส 3/63 จะขยับขึ้นไปที่กรอบประมาณ 3.25-3.35% จากระดับ 3.21% ในไตรมาส 2/63 เนื่องจากยังอยู่ในช่วงของมาตรการพักชำระหนี้ของภาคธุรกิจ ประกอบกับคาดว่า ธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งจะเร่งจัดการปัญหาหนี้เสียในเชิงรุกมากขึ้น ทั้งด้วยวิธีการตัดขายหนี้ด้อยคุณภาพ และเร่งปรับโครงสร้างหนี้
อย่างไรก็ดี คาดว่าการตั้งสำรองฯ จะยังอยู่ในระดับสูงในไตรมาส 3/63 แม้จะมีการตั้งสำรองฯ ก้อนใหญ่ไปแล้วในไตรมาส 2/63 ดังนั้นสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองฯ ต่อสินเชื่อ (Credit Cost) อาจชะลอลงเล็กน้อยมาอยู่ในกรอบประมาณ 1.80-1.95% ในไตรมาส 3/63 เทียบกับ 2.15% ในไตรมาส 2/63 โดยธนาคารพาณิชย์คงเตรียมความพร้อมในส่วนนี้ไว้เพื่อรองรับปัญหาคุณภาพหนี้ ซึ่งจะเห็นได้อย่างชัดเจนมากขึ้นหลังมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ทยอยสิ้นสุดลงหลังในเดือนตุลาคมนี้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า เมื่อจบไตรมาส 3/63 สินเชื่อที่ได้รับความช่วยเหลือจากธนาคารพาณิชย์จะมีสัดส่วนประมาณ 28.5% ต่อสินเชื่อรวม ลดลงเล็กน้อยจากสัดส่วนประมาณ 31.0% ต่อสินเชื่อรวมในไตรมาส 2/63 เนื่องจากลูกหนี้บางส่วนกลับมาชำระคืนหนี้ได้ตามปกติหลังมาตรการช่วยเหลือรอบแรกทยอยสิ้นสุดลง
ดังนั้นในไตรมาสสุดท้ายของปี 63 ความสามารถในการทำกำไรของธนาคารพาณิชย์ยังคงมีความท้าทายไม่น้อยไปกว่าหลายๆ ไตรมาสที่ผ่านมา แม้กิจกรรมทางเศรษฐกิจจะทยอยกลับมาหลังการคลายล็อกดาวน์ แต่ก็เป็นการฟื้นตัวที่เปราะบางมากเพราะแรงขับเคลื่อนพื้นฐานของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคการส่งออกและท่องเที่ยว ยังไม่สามารถฟื้นกลไกการทำงานกลับมาได้อย่างเต็มที่
และในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ คาดว่าจะยังเป็นช่วงที่ธนาคารมีค่าใช้จ่ายรวมสูงกว่าไตรมาสอื่นๆ เพราะมีทั้งค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองฯ ที่น่าจะยังอยู่ในระดับสูง ค่าแคมเปญการตลาด ค่าอุปกรณ์และสถานที่ และรายจ่ายค่าธรรมเนียม ซึ่งท้ายที่สุด คาดว่าจะมีผลกดดันให้กำไรสุทธิของระบบธนาครพาณิชย์ไทยติดลบ YoY ต่อเนื่องในไตรมาสสุดท้ายของปี 63 โดยระดับกำไรสุทธิมีแนวโน้มลดต่ำลงกว่ากำไรสุทธิในไตรมาส 3/63