SCB ชี้เศรษฐกิจโลกเติบโตได้ในระดับต่ำ
![](https://aec10news.com/wp-content/uploads/2019/11/7219ad8e6b69714c1bdc9e64976a434d_XL.jpg)
“SCB Wealth Holistic Experts” ชี้เศรษฐกิจโลกปีหนูทองเติบโตได้ในระดับต่ำแต่ยังไม่ถดถอย เศรษฐกิจไทยได้แรงหนุนจากการลงทุนภาครัฐ-เอกชน
SCB Wealth Holistic Experts ทีมคลังสมองด้านการลงทุนและต่อยอดสร้างความมั่งคั่งสำหรับกลุ่มลูกค้าเวลธ์ธนาคารไทยพาณิชย์ เผยมุมมองภาพรวมเศรษฐกิจโลกปี 2020 ในยุค New Normal ยังคงเติบโตได้แม้อัตราการเติบโตต่ำ แต่ยังไม่เห็นสัญญาณที่ชัดเจนของเศรษฐกิจถดถอย และผลจากการใช้นโยบายการเงินการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในหลายๆ ประเทศทั่วโลก และสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนเริ่มผ่อนคลาย จะส่งสัญญาณเชิงบวกให้กับตลาดการเงิน ด้านเศรษฐกิจไทยในปีหน้าคาดว่าการลงทุนของรัฐบาลและเอกชน จะเป็นปัจจัยสำคัญในการสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย แม้จะยังคงต้องเผชิญความเสี่ยงด้านการส่งออก ตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นตามตลาดหุ้นเกิดใหม่ กลยุทธ์การลงทุนแนะนำให้ลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวกับการบริโภคและการลงทุนในประเทศ เช่น กลุ่มค้าปลีก การแพทย์ นิคมอุตสาหกรรม เป็นต้น และทยอยเพิ่มน้ำหนักหุ้นกลุ่มวัฏจักร เช่น พลังงาน ปิโตรเคมี
นายศรชัย สุเนต์ตา ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลด้านการลงทุนและที่ปรึกษาการลงทุน (SCB Chief Investment Office) ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวถึงภาพรวมเศรษฐกิจโลก พร้อมกลยุทธ์การลงทุนปี 2020 ในยุค New Normal ดังนี้ ปัจจุบันเศรษฐกิจโลก ยังอยู่ในช่วง Late Cycle โดยสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-คู่ค้าหลักๆ ทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอลง โดยการที่เศรษฐกิจโลกเติบโตต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตนานมากขึ้น และดอกเบี้ยมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง ถือเป็น New Normal ขณะที่ เรายังไม่เห็นสัญญาณที่ชัดเจนของการเกิด Recession ใน 1 ปีข้างหน้า ซึ่งปัจจุบัน ธนาคารกลางต่างๆ ใช้นโยบายการเงินผ่อนคลาย และยังมีแนวโน้มผ่อนคลายต่อในปีหน้า ทำให้ดอกเบี้ยยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำ อย่างไรก็ตามโอกาสที่จะปรับลดดอกเบี้ยลงอีกมีน้อยลงเช่นกัน เพราะมีข้อจำกัดในการส่งผ่านนโยบายการเงิน เห็นได้จากหนี้ครัวเรือนที่อยู่สูงโดยเฉพาะประเทศพัฒนาแล้ว ภาคการเงินก็ระมัดระวังการให้สินเชื่อ และธนาคารกลางหลายแห่งยังต้องการเก็บกระสุนที่มีจำกัดไว้ เพื่อรองรับความเสี่ยงในอนาคต นอกจากนี้ประเทศต่างๆ มีแนวโน้มใช้นโยบายการคลังควบคู่กับนโยบายการเงิน ซึ่งนโยบายการคลังก็มีข้อจำกัดจากการมีหนี้สาธารณะซึ่งอยู่ในระดับสูง
ทั้งนี้ มองว่าผลจากการใช้นโยบายการเงินและการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่เริ่มผ่อนคลายลง โดยประธานาธิบดี ทรัมป์ น่าจะมีท่าทีที่อ่อนลงในประเด็นสงครามการค้าในช่วงปีหน้า ก่อนเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งสัญญาณเชิงบวกให้กับตลาดการเงิน
ซึ่งทาง SCB-CIO Office มีมุมมองว่า แม้เศรษฐกิจภาพใหญ่ยังดูไม่สดใส แต่สินทรัพย์เสี่ยงได้ตอบรับปัจจัยนี้เข้าไปแล้ว ดังนั้น หากเริ่มจับสัญญาณการกลับตัวที่จะบ่งชี้ถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและตลาดหุ้นที่สำคัญ ซึ่งหาก PMI เริ่มปรับเพิ่มขึ้น ปริมาณสินค้าคงคลังลดลง และกำไรของบริษัทจดทะเบียนเริ่มมีเสถียรภาพหรือไม่ปรับลดลง ถือเป็นสัญญาณ Bottom Out ที่ควรจะเริ่มเข้าลงทุนใน early stage นี้โดยกลยุทธ์การลงทุนในปี 2020 คือ หาจังหวะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้น โดยเลือกลงทุนในตลาดหุ้น หรือในอุตสาหกรรมที่ราคาปรับลดลงมามาก จนต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน หรือ Laggard ขณะที่หลีกเลี่ยงลงทุนในตราสารหนี้เอกชน High Yield และเน้นลงทุนในตราสารหนี้เอกชน Investment Grade
สำหรับตลาดหุ้นที่น่าสนใจลงทุน ได้แก่ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในกลุ่มธุรกิจสุขภาพ ซึ่ง Valuation อยู่ในระดับต่ำ Earning มีแนวโน้มที่ดี โดยควรรอเข้าลงทุน หลังมีความชัดเจนของนโยบาย Health care, ตลาดหุ้น Asia Emerging Market จากสงครามการค้าที่มีแนวโน้มดีขึ้น เช่น ตลาดหุ้นจีน ซึ่งได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และ ตลาดหุ้นฮ่องกง ในกลุ่มหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี เช่น property และ infrastructure บางตัว
นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS) กล่าวว่า สายงานวิจัย SCBS มีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นต่อตลาดหุ้นไทยสำหรับปี 2563 แม้ยังคงมีความเสี่ยงด้านมหภาค เช่น สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน แต่คาดว่าเศรฐกิจโลกยังคงเติบโตได้แม้อัตราการเติบโตต่ำ แต่ไม่ถึงขั้นเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ทั้งนี้ เนื่องจากประเทศหลัก เช่น สหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น และจีน รวมถึงประเทศเกิดใหม่ ได้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย รวมถึงอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบการเงินผ่านรูปแบบต่างๆ เช่น QE ไว้รองรับความเสี่ยงแล้วตั้งแต่ปลายปี 2562 สำหรับเศรษฐกิจไทย คาดว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ กนง. 2 ครั้ง การออกมาตรการกระตุ้นเศษฐกิจของรัฐบาลทั้งด้านการบริโภค การท่องเที่ยว รวมถึงงบประมาณปี 2563 ที่คาดว่าจะเริ่มใช้จ่ายได้ต้นปี 2563 จะเป็นปัจจัยหนุนการเติบโตของเศรษฐกิจในปี 2563 ให้เติบโตได้ แม้จะยังคงเผชิญความเสี่ยงด้านการส่งออก ทั้งนี้ คาดว่า การลงทุนของรัฐบาลและเอกชน จะเป็นปัจจัยสำคัญในการสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2563 ทางด้าน ตลาดหุ้นไทย ประเมินว่า ความเสี่ยงจำกัดเนื่องจากคาดว่าการปรับลดประมาณการกำไรสุทธิในปี 2562 สิ้นสุดแล้ว ในขณะที่กำไรสุทธิมีโอกาสฟื้นตัวในปี 2563 ประมาณ 8-10% YoY นอกจากนี้ ตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นตามตลาดหุ้นเกิดใหม่ (Emerging Market) ซึ่งยังคงล้าหลังตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐฯ และ ยุโรป ที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่แล้วหลายตลาดฯ ทำให้ผลตอบแทนเริ่มจำกัด ส่งผลให้ตลาดหุ้นเกิดใหม่ มีความน่าสนใจมากขึ้นในปี 2563 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากสหรัฐฯ กับจีนสามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้ากันได้ในเบื้องต้น (ตลาดหุ้นไทยเองก็ยังคงล้าหลังตลาดหุ้นเกิดใหม่เช่นกัน)
กลยุทธ์การลงทุน แนะนำให้ลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวกับการบริโภคและการลงทุนในประเทศ โดยเน้นหุ้นที่มีเงินปันผล ราคาไม่แพงและกำไรสุทธิยังคงเติบโตได้แม้ไม่สูงก็ตาม เพื่อลดความเสี่ยงเศรษฐกิจชะลอตัว เช่น กลุ่มค้าปลีก การแพทย์ นิคมอุตสาหกรรม เป็นต้น ในขณะที่แนะนำให้เริ่มทยอยเพิ่มน้ำหนักหุ้นกลุ่มวัฏจักร เช่น พลังงาน ปิโตรเคมี หลังจากมูลค่าหุ้นลดลงมาสะท้อนความเสี่ยงไปพอสมควรแล้ว โดยคาดหวังว่าเศรษฐกิจโลกจะเริ่มฟื้นตัว และ สงครามการค้าเริ่มคลี่คลาย.