ทีเอ็มบีฟันธงตลาดหุ้นไทยปี64 เป็น “ขาขึ้น”
ทีเอ็มบีฟันธงตลาดหุ้นปี64ยังเป็น “ขาขึ้น”ครึ่งปีแรกหุ้นขนาดกลางและเล็กมีโอกาสเติบโตสูงรับประโยชน์จากเงินทุนต่างชาติไหลเข้า ขณะที่หุ้นขนาดใหญ่ต้องรอคิวครึ่งปีหลัง หนุนคัดหุ้นเทคโนโลยีนวัตกรรมเข้าพอร์ต เชื่อราคายังไม่แพงเกินไปเมื่อเทียบกับโอกาสในการเติบโต
นางสาวกิดาการ ชัฏสุวรรณ หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารผลิตภัณฑ์กองทุนรวม ทีเอ็มบี หรือ ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ทีเอ็มบีมีมุมมองค่อนข้างชัดว่าภาวะตลาดหุ้นโดยรวมในปี 2564 มีทิศทางเป็น “ขาขึ้น” ซึ่งตลาดหุ้นเกิดใหม่ โดยเฉพาะตลาดในภูมิภาคเอเชียจะเป็นจุดสำคัญที่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกโดยตรง ภายใต้การนำของนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯจีนและอินเดียเป็นประเทศที่น่าจับตามองเป็นพิเศษ รวมทั้งประเทศที่เน้นการส่งออกสินค้าที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี เช่น เกาหลีใต้และไต้หวัน
สำหรับตลาดหุ้นไทยในปี 2564 มีแนวโน้มดีกว่าปีที่แล้ว ท่ามกลางภาพรวมของเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวเปราะบางนักท่องเที่ยวและการส่งออกยังไม่กลับมาเต็มร้อย ทางทีเอ็มบีมองว่าจีดีพีในปีนี้จะเติบโตอยู่ที่ประมาณ 2.40% และคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะยังไม่ปรับขึ้นตลอดทั้งปี
โดยการลงทุนในหุ้นไทยแบ่งเป็นสองช่วง คือ ช่วงครึ่งแรกของปี 2564 หุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีโอกาสเติบโตสูงจะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจทั่วโลก ทำให้หุ้นกลุ่มดังกล่าวมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นมากกว่าหุ้นขนาดใหญ่ที่ต้องรอความชัดเจนเรื่องวัคซีน แต่หลังจากที่วัคซีนเริ่มเข้ามาในครึ่งปีหลัง หุ้นขนาดใหญ่จะมีโอกาสฟื้นตัวมากกว่า
ทั้งนี้ ด้วยสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปในปี 2564 ทางทีเอ็มบีมองว่าการจัดพอร์ตลงทุนต้องมีมุมมองใหม่ให้สอดคล้องกับโครงสร้างและรูปแบบการดำเนินชีวิตของผู้คนที่เปลี่ยนจาก New normal เป็น Now normal ทำให้เทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ ได้ก้าวเข้ามามีบทบาทต่อวิถีชีวิตคนมากขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีและนวัตกรรม ดังนั้นในส่วนหลักของพอร์ตจะเน้นการลงทุนในหุ้นดังกล่าวเป็นหลัก นอกจากนี้ พอร์ตของเราจะผสานด้วยหุ้นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบเป็นอย่างมากจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งการมาของวัคซีนจะช่วยสนับสนุนให้ราคาของหุ้นในกลุ่มนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้น
“แม้ในปีที่ผ่านมาราคาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีมีการปรับตัวขึ้นมาอย่างร้อนแรง จนทำให้นักลงทุนกังวลว่าราคาหุ้นกลุ่มนี้แพงเกินไป ซึ่งทีเอ็มบีมองว่ายังไม่แพงเกินไปที่จะลงทุนในตอนนี้ โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีที่เน้นนวัตกรรมสมัยใหม่ที่ตอบโจทย์การดำเนินชีวิตของผู้คน เนื่องจากการลงทุนในปัจจุบันนั้นนักลงทุนต้องการลงทุนในธุรกิจที่มี “การเจริญเติบโต” ในอนาคตอย่างยั่งยืน แม้ว่าราคาหุ้นอาจจะดูปรับตัวขึ้นมามากแต่ถ้าเป็นการปรับตัวขึ้นตามการเติบโตของบริษัทก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติไม่ใช่เป็นภาวะฟองสบู่ ซึ่งการคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำของ Fed เป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนทั้งหลายในตลาดหลักทรัพย์ รวมทั้งปล่อยสภาพคล่องผ่านการทำ QE Infinity ทำให้เม็ดเงินที่หมุนเวียนอยู่ในตลาดการเงินนั้นมีอยู่มหาศาล นักลงทุนจึงต้องมองหาการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีพร้อมทั้งมีความปลอดภัยจากการลงทุนในระดับหนึ่ง ซึ่งหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดี”
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางสภาพคล่องที่มีอยู่มาก ผู้ลงทุนต้องระวังเรื่องความผันผวนที่อาจรุนแรงมากกว่าภาวะปกติเมื่อเกิดการเคลื่อนย้ายของเงินทุนอย่างฉับพลัน ดังนั้นการกระจายการลงทุนให้เหมาะสมจะทำให้พอร์ตไม่เสี่ยงมากเกินไป โดยหนึ่งในสินทรัพย์ที่ควรมีติดพอร์ตไว้เพื่อป้องกันความเสี่ยงเรื่องเงินเฟ้อที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตก็คือ ทองคำ แม้ปีนี้ราคาทองคำอาจจะไม่ได้ปรับขึ้นร้อนแรงเหมือนปีที่ผ่านมา แต่หากครึ่งปีหลังเศรษฐกิจฟื้นและมาตรการกระตุ้นต่าง ๆ ที่ออกมาทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าก็เป็นโอกาสของทองคำได้เช่นกัน