SUPER ซื้อโรงไฟฟ้าเวียดนาม เฉียด 5 พันล.
บอร์ด SUPER อนุมัติงบลงทุน 4,785 ล้านบาท ซื้อโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ที่เวียดนาม เล็งศึกษาลู่ทางขยายธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนใน ฟิลิปปินส์ ,ไต้หวัน ,เกาหลีใต้ในอนาคต
นายจอมทรัพย์ โลจายะ ประธานคณะกรรมการ บริษัท ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SUPER เปิดเผยว่าคณะกรรมการของบริษัทฯ มีมติอนุมัติให้ SUPER SOLAR ENERGY (HONGKONG) 1 Co.,Ltd. บริษัทย่อยเข้าลงทุนซื้อหุ้นโดยทางตรงและทางอ้อมใน Nam Veit Phan Lam Co.,Ltd ซึ่งเป็นบริษัทเจ้าของโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์จำนวน 36.72 เมกะวัตต์ ที่ประเทศเวียดนามโครงการ Phan Lam1 ในสัดส่วนร้อยละ 100
นอกจากนี้ยังเข้าซื้อหุ้นโดยทางอ้อมใน Everich Binh Thuan Energy Limited Liability Company ซึ่งเป็นบริษัทเจ้าของโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์จำนวน 50 เมกะวัตต์ ที่ประเทศเวียดนาม โครงการ Binh An ร้อยละ 100 และอนุมัติให้ Super Energy (East) Pte Ltd. บริษัทย่อยเข้าลงทุน โดยการเข้าซื้อหุ้นทางอ้อมใน Sinenergy Ninh Thuan Power Limited Liability Company ซึ่งเป็นบริษัทเจ้าของโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์จำนวน 50 เมกะวัตต์ ที่ประเทศเวียดนาม โครงการ Sinenergy Ninh Thuan ร้อยละ 100 รวมจำนวน 3 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้งรวม 136.72 เมกะวัตต์ โดยมีมูลค่าเงินลงทุนรวมอยู่ที่ 4,785.2 ล้านบาท
บริษัทฯ คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการเข้าลงทุนในโครงการดังกล่าวคือ 1.ส่งเสริมนโยบายในการขยายฐานธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนไปยังต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น 2.ช่วยให้บริษัทฯ มีแหล่งรายได้ที่แน่นอนต่อเนื่องเป็นระยะยาว และสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ และ 3.ทำให้บริษัทฯมีการเติบโตของทรัพย์สินอย่างต่อเนื่อง
” การเข้าลงทุนของ SSE-HK1 ในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาดกำลังการผลิตตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากว่า 136 เมกะวัตต์ ใน 3 โครงการนั้นจะเป็นจะช่วยเพิ่มรายได้และกำไร โดยทั้ง 3 โครงการข้างต้น มีกำหนดจ่ายไฟเชิงพาณิชย์ (COD) ภายในเดือนมิถุนายน2562 ซึ่งจะเข้าช่วยสร้างรายได้ให้กับบริษัทในช่วงปีหน้า ซึ่งยังไม่นับรวมการขยายการลงทุนที่ในโรงไฟฟ้าพลังงานลมก่อนหน้านี้ นอกจากนั้นแล้ว SUPER ก็ยังมองหาโอกาสในการซื้อกิจการธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนด้านอื่นๆเพิ่มเติมด้วยในอนาคต “ นายจอมทรัพย์กล่าว
ที่ผ่านมาบริษัทได้เข้าไปศึกษาความเหมาะสมด้านการลงทุน ประเทศฟิลิปปินส์ ,ไต้หวัน ,เกาหลีใต้ เป็นต้น ส่วนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในเวียดนาม อีก 700 เมกะวัตต์ ที่อยู่ระหว่างการพัฒนาจะทยอย COD ในช่วง 5 ปีข้างหน้า เริ่มตั้งแต่ไตรมาส 3/2562 เป็นต้นไป
อย่างไรก็ตามแม้ผลประกอบการในไตรมาส 3/ 2561 มีกำไรสุทธิ 113.37 ล้านบาท เนื่องจากผลมาจากในช่วงเดือน มิถุนายน -กันยายน ปีนี้ประเทศไทยมีปริมาณฝนมากทั่วประเทศ ซึ่งทำให้ปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ผลิตและจำหน่ายได้ของบริษัทลดลงเมื่อเทียบกับรอบระยะเวลาเดียวกันของปีก่อน แต่ยังเชื่อว่าไตรมาส 4/2561 ผลประกอบการจะดีขึ้น เพราะมีการเดินเครื่องจ่ายไฟเชิงพาณิชย์ (COD) เพิ่มจากโรงไฟฟ้าขยะ จ.สระแก้ว ขนาดกำลังการผลิต 9 เมกะวัตต์ และโครงการโรงไฟฟ้าสหกรณ์การเกษตร เฟส 2 ขนาดกำลังการผลิต 28 เมกะวัตต์สะสมเพิ่มจากการCOD ได้ในช่วงปลายปีเข้ามาสนับสนุน จึงคาดว่าจะทำให้ผลประกอบการออกมาดีและสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นในอนาคตอีกด้วย.