แผน 5 ปี 50,000 ลบ.“บางจาก” เน้นโรงไฟฟ้า
บางจาก เปิดแผน 5 ปี ลงทุน 50,000 ล้านบาท เน้นธุรกิจโรงไฟฟ้า ตั้งเป้ารายได้รวมปี 67 กำไรโต 2.5 เท่า เตรียมส่ง BBGI เข้า ตลท.ปี 63 ผุดโมเดล “Bangchak WOW” ดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯยังคงได้รับผลกระทบจากความผันผวนของสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ธุรกิจน้ำมันอยู่ในช่วงขาลงตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวต่อเนื่องจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ส่งผลให้ผลประกอบการในปี 2561 ต่อเนื่องมาถึงปี 2562 ของทั้งอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันรวมถึงของบริษัทฯ ปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม กลุ่มบริษัทฯ มีแผนยุทธศาสตร์ปี 2563-2567 ที่จะใช้เงินลงทุน 50,000 ล้านบาท สำหรับพัฒนาและขยายธุรกิจ โดยเน้นลงทุนธุรกิจไฟฟ้า ประมาณ 60-70% ตั้งเป้า EBITDA เติบโต 2.5 เท่า ภายใน 5 ปีข้างหน้า
สำหรับกลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน มีแผนเพิ่มกำลังการกลั่นจาก 112,500 บาร์เรลต่อวันเป็น 120,000 บาร์เรลต่อวัน ในปี 2563 ส่วนการลงทุนปรับเป็นมาตรฐานยูโร 5 ทั้งโรงกลั่น คาดการณ์ว่าจะแล้วเสร็จในปี 2566 ตั้งเป้าลดค่าใช้จ่ายจากการปรับปรุงกระบวนการดำเนินงานของโรงกลั่นจากการดำเนินโครงการ Rocket ให้ได้ไม่น้อยกว่า 900 ล้านบาทต่อปี ภายในสิ้นปี 2563
ส่วนของธุรกิจการค้าน้ำมันโดย บริษัท BCP Trading จำกัด จะขยายธุรกิจ โดยเพิ่มยอดการจัดซื้อและจัดจำหน่ายน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์ ให้อยู่ในระดับ 250,000 บาร์เรลต่อวัน จากปัจจุบัน 68,000 บาร์เรลต่อวัน ในรูปแบบ Out-Out Trading ซึ่งเป็นการจัดซื้อและจำหน่ายสินค้าในต่างประเทศโดยไม่นำเข้าประเทศไทย ในสัดส่วนร้อยละ 50% ด้านกลุ่มธุรกิจการตลาด ตั้งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดให้เติบโตสูงกว่าอัตราเติบโตเฉลี่ยของประเทศหรือสูงขึ้นถึงร้อยละ 18 ในปี 2567 รวมทั้งขยายจำนวนสถานีบริการรูปแบบทันสมัย ขยายโครงข่ายสถานีบริการน้ำมันรวม 60 แห่ง และขยายสาขาร้านกาแฟอินทนิลรูปแบบใหม่ “Inthanin the Grocer” เพิ่มเป็น 860 สาขา พร้อมการขยายฐานผู้แทนจำหน่าน้ำมันหล่อลื่นในตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ยังได้ร่วมกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ขยายจุดชาร์จรถพลังงานไฟฟ้า EV Charger ในสถานีบริการน้ำมันบางจาก ไม่น้อยกว่า 62 สาขาทั่วประเทศ ภายในปี 2564 สำหรับกลุ่มธุรกิจผลิตไฟฟ้า ตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 1,000 เมกะวัตต์ ใน 5 ปี จากปัจจุบัน มีกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด 403.5 เมกะวัตต์ ใน 5 ประเทศ ได้แก่ ไทย ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ได้แก่ โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานความร้อนใต้พิภพ และพลังน้ำ
ด้านกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ ได้ขยายกำลังการผลิตเอทานอล จากโรงงานที่อำเภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี จาก 200,000 ลิตรต่อวันเป็น 300,000 ลิตรต่อวัน และขยายกำลังการผลิตไบโอดีเซล จาก 930,000 ลิตรต่อวันเป็น 1,000,000 ลิตรต่อวัน และยังเตรียมพร้อมในการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ B100 เพิ่มขึ้นตามนโยบายภาครัฐที่ส่งเสริมการใช้น้ำมันไบโอดีเซล (B100) ทั้งน้ำมันดีเซล B20 และ B10 เพื่อรองรับความต้องการใช้ในอนาคต ตลอดจนหาโอกาสขยายการลงทุนเพิ่มในธุรกิจพลังงานชีวภาพผ่านการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ในปี 2563
ส่วนกลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติ ได้ถือหุ้นเป็นอันดับ 2 ใน Lithium Americas Corp. ซึ่งเป็นธุรกิจต้นน้ำของธุรกิจแบตเตอรี่ ปัจจุบันมีกำลังการผลิตแร่ลิเทียมในเฟสที่ 1 เพิ่มขึ้นจาก 25,000 ตันต่อปี เป็น 40,000 ตันต่อปี รวมทั้งได้รับสิทธิ์ในการรับผลิตภัณฑ์จากแผนการจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ในปี 2564 ไปจำหน่ายเป็นจำนวน 6,000 ตันต่อปี เพิ่มขึ้นจากปี 2561 ที่ได้รับสิทธิ์ จำนวน 2,500 ตันต่อปี ซึ่งปริมาณแร่ลิเทียมดังกล่าว เพียงพอสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าประมาณ 120,000 คัน นอกจากนี้ ธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมผ่านบริษัท OKEA ที่นอร์เวย์ มีแหล่งน้ำมันดิบ Yme และ Grevling ในทะเลเหนือที่จะเริ่มเปิดดำเนินการเพิ่มเติม ซึ่งจะทำให้มีกำลังผลิตจากแหล่งน้ำมันดิบ 5 แหล่ง รวม 20 kboepd และบริษัทฯ จะยังคงแสวงหาแหล่งน้ำมันดิบและพลังงานใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง
สำหรับ สถาบันนวัตกรรมและบ่มเพาะธุรกิจ หรือ BiiC ในปี 2562 ได้ลงทุนในธุรกิจชีวภาพ 8 ล้านเหรียญสหรัฐ และธุรกิจพลังงานสะอาด 9 ล้านเหรียญ โดยได้ลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพด้านพลังงานของไทยด้วย และได้ตั้งโมเดล “Bangchak WOW” โดยทำงานร่วมกับพันธมิตรต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ในการดูแลชุมชน การพัฒนาสินค้าชุมชน พร้อมขยายช่องทางกระจายสินค้า และการปลูกป่า ปลูกต้นไม้ เพื่อช่วยลด PM2.5 และการปรับปรุงภูมิทัศน์พื้นที่ต่างๆ