GUNKUL คว้าโซลาร์รูฟท็อป กฟผ. 580 kW
GUNKUL คว้างานก่อสร้างโซลาร์รูฟท็อป กฟผ. กำลังการผลิตกว่า 580 กิโลวัตต์ มูลค่า 48.5 ล้านบาท
นางสาวโศภชา ดำรงปิยวุฒิ์ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง (GUNKUL) เปิดเผยว่า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้พิจารณาตกลงให้บริษัท กันกุล พาวเวอร์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (GPD) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ GUNKUL ดำเนินการจัดซื้อพร้อมติดตั้ง ระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ชนิดติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftop) กำลังการผลิตติดตั้งรวมไม่น้อยกว่า 580 กิโลวัตต์ (kW) และระบบกักเก็บพลังงาน Battery Energy Storage System (BESS) บนพื้นที่สำนักงานกลาง กฟผ. ประมาณ 300 ไร่
แบ่งเป็นพื้นที่อาคารประมาณ 350,000 ตารางเมตร และเป็นส่วนสำนักงานประมาณ 200,000 ตารางเมตร ให้เป็นโครงการ Smart City ตามนโยบายพลังงาน 4.0 คิดเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 48,501,458.44 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว) โดยกำหนดระยะเวลาก่อสร้างนับจากวันลงนามในสัญญาจำนวน 180 วัน
“โครงการนี้เป็นการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในพื้นที่สำนักงานกลาง กฟผ.ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยขับเคลื่อนโครงการ “โครงการพัฒนาสำนักงานกลางสู่เมืองนิเวศแห่งความสุข” ให้เป็นรูปธรรม และสามารถนำมาศึกษาและต่อยอดเพื่อนำไปพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ประชาชนได้อย่างทั่วถึง จากการที่บริษัทได้รับการพิจารณาดำเนินโครงการจากกฟผ. แสดงให้เห็นถึงความไว้วางใจในศักยภาพของกลุ่มบริษัท ซึ่งถือเป็นความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจที่ผ่านคุณสมบัติครบถ้วนจากการพิจารณาของ กฟผ. จะช่วยหนุนให้ผลการดำเนินงานของบริษัทเติบโตเพิ่มมากขึ้น”นางสาวโศภชา กล่าว
นางสาวโศภชา กล่าวอีกว่า ในช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัทเตรียมเข้าร่วมประมูลโครงการต่าง ๆ ของการไฟฟ้า คิดเป็นมูลค่างานรวมไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท เช่น โครงการบริหารระบบหม้อแปลงไฟฟ้า CSCS มูลค่าประมาณ 150 ล้านบาท , โครงการ Bypass Cable Truck มูลค่าประมาณ 200 ล้านบาท ,โครงการวางสายเคเบิ้ลใต้น้ำจากฝั่งสู่เกาะสมุย 1,700 ล้านบาท , โครงการวางสายเคเบิ้ลใต้น้ำจากฝั่งสู่เกาะเต่า 1,400 ล้านบาท , โครงการวางสายเคเบิ้ลใต้น้ำจากฝั่งสู่เกาะปันหยี 200 ล้านบาท , โครงการนำสายไฟฟ้าลงดินของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ประมาณตามสัดส่วนของบริษัท 1,400 ล้านบาท เป็นต้น
ทั้งนี้ หากได้งานจะเป็นปัจจัยบวกที่ทำให้ผลการดำเนินงานปีนี้เติบโตได้อย่างมีศักยภาพมากยิ่งขึ้น รวมถึงช่วยสนับสนุนให้งานในมือ (Backlog) เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 8,500 ล้านบาท จึงทำให้มั่นใจรายได้และกำไรสุทธิในปีนี้จะเติบโตตามเป้าที่ได้ตั้งไว้ 25%