ERS เสนอ ปฏิรูปพลังงาน เอื้อประโยชน์เอกชน
กลุ่มปฏิรูปพลังงานเพื่อความยั่งยืน เตรียม ยื่นจดหมายเปิดผนึกเสนอ 6 แนวทางปฏิรูปพลังงาน ต่อนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน แก้ปมเอื้อประโยชน์เอกชน บั่นทอน ธรรมาภิบาล ภาครัฐ เป็นวาระเร่งด่วน
นาย ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานกลุ่มปฏิรูปพลังงานเพื่อความยั่งยืน หรือ ERS เปิดเผยในงานครบรอบ 5 ปี ภายใต้หัวข้อ5 ปี ERS: “ทิศทางประเทศไทย ทิศทางพลังงานไทย” ว่า กลุ่ม ERS เตรียมยื่นจดหมาย เปิดผนึกเสนอ 6 แนวทางปฏิรูปพลังงาน ถึงนายสนธิรัตน์ สนธิจรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานคนใหม่ ประกอบไปด้วย
1. การปรับโครงสร้างราคาพลังงาน ที่ราคาพลังงานประเภทต่างๆ ควรสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง
2. เพิ่มการแข่งขันและประสิทธิภาพในธุรกิจพลังงานเพื่อมิให้มีการเอาเปรียบผู้บริโภค
- ลดการแทรกแซงโดยมิชอบและแสวงหาประโยชน์ในกิจการพลังงานที่รัฐถือหุ้น และการป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อนของเจ้าหน้าที่ของรัฐ
- กระบวนการในการกำหนดนโยบาย 5. การสำรวจ พัฒนาและจัดหาแหล่งพลังงาน และ 6. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานพลังงานหมุนเวียนและพลังงานสะอาด

ทั้งนี้กระทรวงพลังงานควรเตรียมรับการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีของโลก และแก้ข้อสงสัยเรื่องการเอื้อประโยชน์เอกชนซึ่งบั่นทอนธรรมาภิบาลภาครัฐให้เป็นวาระเร่งด่วน
เนื่องจากภาคพลังงานไทยยังมีปัญหาหลายประการที่ควรได้รับการแก้ไข เพราะหากทิ้งไว้จะทำให้มีความอ่อนแอลงและมีผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันและฐานะการเงินระหว่างประเทศของไทย อาทิ ธรรมาภิบาล ด้านบริหารจัดการนโยบายพลังงานที่ยังมีจุดที่ก่อให้เกิดข้อสงสัย เนื่องจากเอกชนบางรายได้ประโยชน์จากนโยบายและการตัดสินใจของหน่วยงานภาครัฐ เช่น การอนุมัติต่ออายุและสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ภาคตะวันตก 2 โรง (1400 MW) แทนโรงเดียว (700 MW) ที่หมดอายุลงโดยไม่มีการประมูล
และการเปิดประมูลสร้างท่าเรือมาบตาพุดเฟส 3 ที่มีการเพิ่มคลังรับก๊าซ LNG โดยไม่เชื่อมโยงกับแผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติที่สอดคล้องกับแผน PDP 2018ในส่วนของราคาพลังงานยังมีการอุดหนุนราคาพลังงานบางประเภทแบบ Cross Subsidies ในระดับสูง ซึ่งไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภคบางส่วนและไม่สร้างแรงจูงใจให้ผู้ผลิตปรับปรุงประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเชื้อเพลิงชีวภาพที่ต้นทุนการผลิตยังสูงเกินควร
ทั้งนี้ ERS ได้เสนอว่า หากรัฐบาลจะใช้ดุลพินิจให้สิทธิประโยชน์แก่เอกชนรายใด เช่น การก่อสร้างโรงไฟฟ้า โดยที่ไม่มีการประมูลแข่งขันในการให้ผลประโยชน์ตอบแทนแก่รัฐ เช่น ราคาขายไฟฟ้า ก็ควรจะอธิบายว่าการเลือกปฏิบัตินั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์ต่อสาธารณะและผู้บริโภคอย่างไรทำนองเดียวกันการประกาศเงื่อนไขการประมูล (TOR) ก็ควรมีความเป็นกลาง ไม่เอื้อประโยชน์แก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งด้วยเช่นกัน
ในด้านธรรมาภิบาล ERS ยังมีข้อเสนอให้ปรับปรุงโครงสร้างการบริหาร อาทิ แก้ไข พ.ร.บ.การพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2562 เพื่อแยกการกำหนดนโยบายการกำกับดูแลและการดูแลผลประโยชน์ของรัฐในฐานะของผู้ถือหุ้นออกจากกันอย่างแท้จริงเหมือนในประเทศพัฒนาแล้ว และเห็นว่าในช่วงที่ผ่านมาได้มีการเปิดให้บุคคลที่สามใช้ระบบท่อก๊าซ ปตท.แล้ว เพื่อให้ผู้ใช้ไฟฟ้าได้ประโยชน์จากการแข่งขันดังกล่าว เพราะก๊าซส่วนใหญ่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า จึงเห็นควรเพิ่มการแข่งขันในกิจการผลิตไฟฟ้าเพื่อให้การผลิตไฟฟ้ามีประสิทธิภาพสูงขึ้นและต้นทุนต่ำลง โดยส่งผ่านราคาค่าไฟฟ้าที่เป็นธรรมให้ผู้บริโภค สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีที่ระบบผลิตไฟฟ้าจะเปลี่ยนแปลงสู่ระบบกระจายศูนย์อย่างรวดเร็วในอนาคต และส่งเสริมการผลิตเองใช้เองของผู้บริโภค (Prosumer)
นอกจากนั้น ERS เสนอให้ปรับโครงสร้าง กฟผ. โดยยังคงให้ควบคุมระบบสายส่ง ศูนย์ควบคุมระบบไฟฟ้า (System Operator) และโรงไฟฟ้าพลังน้ำ และให้จัดกลุ่มโรงไฟฟ้าอื่นๆ ของ กฟผ. เป็นหน่วยงานอิสระเพื่อเตรียมความพร้อมในการแข่งขันกับเอกชนที่เปิดกว้างและโปร่งใส อันจะเป็นโอกาสทางธุรกิจต่อไปในอนาคต ขณะเดียวกันก็ทำให้การรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าต่างๆ การเชื่อมโยงระบบและการสั่งเดินเครื่องมีความเที่ยงธรรมอย่างแท้จริงและเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อผู้บริโภคและความเข้มแข็งโดยรวมของเศรษฐกิจไทย
นอกจากนี้ยังเสนอให้เตรียมการเปิดให้บุคคลที่สามใช้ระบบสายส่งไฟฟ้าและปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าให้มีการแข่งขันโดยให้ผู้ใช้ไฟฟ้ามีทางเลือกในการซื้อไฟฟ้า(Retail Competition) โดยริเริ่มโครงการนำร่อง (sandbox) ให้มีการนำเทคโนโลยีอัจฉริยะ (Smart Technology เช่น Block Chain) เพื่อเอื้อให้เกิดนวัตกรรมในการผลิตและการใช้พลังงานไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นทั้งนี้อาจเริ่มจากผู้ใช้ไฟฟ้าในเขตนิคมอุตสาหกรรม หรือหมู่บ้านจัดสรรที่มีความพร้อม และในระยะต่อไปจึงเปิดให้มีการแข่งขันเต็มรูปแบบ
ในส่วนของน้ำมันเชื้อเพลิงERS เห็นว่ารัฐบาลควรใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงรักษาเสถียรภาพของราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศเฉพาะเมื่อมีวิกฤติราคาน้ำมันในตลาดโลกและใช้ในช่วงเวลาสั้นๆ การส่งเสริมเชื้อเพลิงชีวภาพ ควรให้น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 กับ น้ำมันไบโอดีเซล B10 เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงหลักของประเทศ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ส่งเสริมผลิตภัณฑ์ภายในประเทศ และลดการนำเข้า โดยทยอยลดการอุดหนุนเชื้อเพลิงชีวภาพภายในช่วงเวลาที่ พ.ร.บ.กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562 กำหนด โดยมีเป้าหมายให้ภาคเกษตรและอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ เพื่อให้สามารถแข่งขันกับเชื้อเพลิงชีวภาพในตลาดโลกได้ ERS เห็นควรเลิกการอุดหนุนแบบถาวรในน้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพชนิด E85 และ B20 เนื่องจากไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภคกลุ่มอื่นที่ต้องรับภาระจ่ายเงินเข้ากองทุน และไม่ส่งเสริมให้ผู้ผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตของตนเองให้แข่งขันได้