บีไอจี ร่วมทุน ปตท เดินเครื่องโรงแยกอากาศไฮเทค ก.ย. นี้
บีไอจี ผนึก ปตท ลงทุนโรงแยกอากาศด้วยการนำเทคโนโลยีแลกเปลี่ยนความเย็นจาก LNG แห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งเป้าผลิตเชิงพาณิชย์ปลายกันยายนนี้ พร้อมขยายกำลังการผลิตออกซิเจนป้อนระบบสาธารณะสุข
นายปิยบุตร จารุเพ็ญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บางกอกอินดัสเทรียลแก๊ส จำกัด (บีไอจี) เผยถึงความคืบหน้าการดำเนินโครงการโรงแยกอากาศแห่งใหม่ (Air Separation Unit : ASU) ในนาม บริษัท มาบตาพุด แอร์โปรดักส์ จำกัด (Map Ta Phut Air Products Co., Ltd. : MAP) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนเพื่อต่อยอดนวัตกรรมร่วมกันระหว่าง บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และบริษัท บางกอกอินดัสเทรียลแก๊ส จำกัด (บีไอจี) ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง พร้อมเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ภายในเดือนกันยายนนี้ ด้วยมูลค่าการลงทุนกว่า 2,000 ล้านบาท และมีกำลังการผลิตก๊าซอุตสาหกรรม 450,000 ตันต่อปี
ซึ่งเป็นโรงแยกอากาศแห่งแรกในประเทศไทยและในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ใช้เทคโนโลยีการแยกอากาศโดยอาศัยพลังงานความเย็นที่ได้จากการเปลี่ยนสถานะก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ที่คลังเก็บก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG Terminal)ลดการพึ่งพาการใช้ไฟฟ้าในกระบวนการแยกอากาศ ทำให้การปล่อยคาร์บอนไดออกไซต์ (Carbon Emissions) สู่ชั้นบรรยากาศลดลง ซึ่งส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมและเป็นเทรนด์ของภาคอุตสาหกรรมทั่วโลกที่กำลังตื่นตัวในเวลานี้
โรงแยกอากาศแห่งใหม่นี้ สามารถผลิตได้ทั้งออกซิเจน ไนโตรเจน และอาร์กอน โดยเฉพาะออกซิเจนเหลวสามารถผลิตได้ 140 ตันต่อวัน เมื่อรวมกำลังการผลิตออกซิเจนเหลวเดิมทั้งหมดของบีไอจีแล้ว จะทำให้กำลังการผลิตออกซิเจนเหลวของบีไอจีเพิ่มขึ้นมากกว่า 1,100 ตันต่อวัน ซึ่งเป็นกำลังการผลิตที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดย ปตท และ บีไอจี จะนำออกซิเจนเหลวที่ผลิตได้ เป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนหน่วยงานสาธารณสุขของประเทศ ซึ่งมีความสำคัญภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 ที่ยังคงมีจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยวิกฤตอยู่ในอัตราที่สูง
