นศ.จีนเรียนต่อ UK เพิ่มขึ้น 30%
จำนวนนักศึกษาชาวจีนที่สมัครเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยในสหราชอาณาจักรเพิ่มขึ้นถึง 30% ตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยมีนักศึกษาเพิ่มขึ้นในไอร์แลนด์เหนือเป็นครั้งแรก จากสถิติข้อมูลของทางการ
โดยเมื่อวันที่ 11 ก.ค. UCAS ซึ่งเป็นหน่วยงานรับสมัครเข้ามหาวิทยาลัยเปิดเผยข้อมูลว่า ได้รับใบสมัครเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีเกือบ 20,000 ราย ที่เป็นนักศึกษาจากจีนในปีนี้ ( 19,760 รายจากเดิม 15,240 รายในปี 2561)
ทั้งนี้ ตัวเลขจริงอาจสูงกว่านี้ เพราะนักศึกษาทุกคนไม่ได้ยื่นสมัครผ่าน UCAS ทั้งหมด
จำนวนนศ.จากจีนแผ่นดินใหญ่ที่กำลังศึกษาในสหราชอาณาจักรในระดับที่สูงขึ้นมีมากขึ้นเกือบสองเท่าในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
จีนเป็นแหล่งนักศึกษาต่างชาติที่ใหญ่ที่สุดในมหาวิทยาลัยของสหราชอาณาจักร โดยในปี 2550 – 2551 มีนศ.ชาวจีน 43,530 คนในสหราชอาณาจักร จากข้อมูลของ Higher Education Statistics Agency (HESA) และ 10 ปีต่อมา จำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 106,530 คน โดย 60,460 คนศึกษาในระดับปริญญาโท และ 46,070 ศึกษาระดับปริญญาตรี
โดยมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์มีจำนวนนักศึกษาชาวจีนมากที่สุดในยุโรป คือประมาณ 5,000 คนจากจำนวนนักศึกษาทั้งหมด 40,000 คน ( คิดเป็น 1 ใน 8 )“มหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นที่รู้จักมากในจีน” Richard Cotton ผอ.ฝ่ายรับสมัครนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ระบุ “บางส่วนอาจมาจากฟุตบอล”
ในปี 2558 ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีนได้เดินทางมาเยือน National Graphene Institute (์NGI) ที่มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ “ เรามีจำนวนนศ.จากจีนที่สมัครเรียนที่นี่มากขึ้นหลังจากนั้น” Cotton กล่าว
เถาหวัง นศ.จีนที่กำลังเรียนปริญญาเอกด้านการเมืองในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ระบุว่า เขาชอบความหลากหลายของเมือง แต่ก็มีความยุ่งยากด้วยจากการปรับตัวเข้าหากัน
นศ.ชาวจีนและอังกฤษใช้ชีวิตแยกจากกัน โดยนศ.จีนมักอาศัยในแฟลตที่มีราคาแพง ขณะที่นศ.อังกฤษแชร์บ้านอยู่รวมกัน
“นศ.จีนทำการบ้านด้วยกัน ทำหม้อไฟกินที่บ้านด้วยกัน ร้องคาราโอเกะ ไปช้อปปิ้ง ซึ่งบางครั้งก็เป็นของหรูๆ” เขากล่าว “นศ.อังกฤษชอบไปดื่มเหล้าที่ผับฟังดนตรีเสียงดังเพื่อนนศ.จีนมาบ่นกับผมว่า ไม่มีเพื่อนในอังกฤษเลย เพราะพวกเขาไม่ชอบไปผับ”
Nick Hillman อธิการบดี ม.แมนเชสเตอร์ และผอ. สำนักคิด Higher Education Policy Institute ให้ความเห็นเกี่ยวกับตัวเลขจาก UCAS ว่า “ ชัดเจนว่า สหราชอาณาจักรได้ประโยชน์จากความสัมพันธ์ที่เย็นชาระหว่างจีนกับสหรัฐฯ และระหว่างจีนกับออสเตรเลีย”