จีนจ่อขึ้นภาษีโต้กลับสหรัฐฯ
เมื่อวันที่ 13 พ.ค.จีนระบุว่าจะจะจัดเก็บภาษีในอัตราที่สูงขึ้นกับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ซึ่งรวมทั้งผักแช่แข็ง และก๊าซธรรมชาติเหลว เพื่อเป็นการตอบโต้ในสงครามการค้ากับวอชิงตัน หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เตือนก่อนหน้านี้ไม่ให้จีนทำ
ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจากสหรัฐฯปรับขึ้นภาษีมูลค่า 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯกับสินค้านำเข้าจากจีน ก่อให้เกิดความกังวลว่าการโต้ตอบกันของสองประเทศมหาอำนาจจะสั่นคลอนเศรษฐกิจทั่วโลกในปีนี้
กระทรวงการคลังของจีนระบุว่า มีแผนจะปรับขึ้นภาษีจากอัตรา 5% เป็น 25% กับสินค้าจากสหรัฐฯ 5,140 รายการ มีมูลค่าทั้งหมด 60,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยภาษีที่ปรับใหม่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มิ.ย.นี้
“การปรับเปลี่ยนภาษีเพิ่มเติมจากจีนถือเป็นการรับมือกับแนวคิดแบบเอกภาพนิยมและการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ” กระทรวงระบุ “ จีนหวังว่าสหรัฐฯจะกลับมาสู่การค้าแบบทวิภาคีและการปรึกษาหารือทางเศรษฐกิจ และพบกันครึ่งทางกับจีน”
ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงเช้าวันที่ 13 พ.ค. ประธานาธิบดีทรัมป์บอกกับจีนไม่ให้สร้างความตึงเครียดมากขึ้นกับกรณีพิพาททางการค้า และกระตุ้นบรรดาผู้นำ ซึ่งรวมถึงประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ให้ยังคงทำงานเพื่อให้บรรลุข้อตกลง “ จีนไม่ควรตอบโต้ มันจะยิ่งแย่กว่าเดิม” เขาระบุบนทวิตเตอร์
“ ผมกล่าวอย่างเปิดอกกับประธานาธิบดีสี และ เพื่อนของผมมากมายในจีนว่า จีนจะยิ่งเจ็บมาก หากไม่ยอมตกลงปิดดีล เพราะหลายบริษัทจะถูกบีบให้ต้องออกจากจีนไปประเทศอื่น” ทรัมป์ทวีต
โดยทรัมป์กล่าวหาว่าจีนกลับลำกับข้อผูกพันที่ทำไว้ในระหว่างช่วงเวลาหลายเดือนของการเจรจา ซึ่งทางปักกิ่งปฏิเสธ
สื่อภาครัฐของจีนระบุว่า จีนเปิดกว้างเพื่อให้มีการเจรจาอีก แต่ก็จะปกป้องผลประโยชน์และศักดิ์ศรีของประเทศด้วย โดยจากความเห็นทางสถานีโทรทัศน์ระบุว่า ผลกระทบกับเศรษฐกิจจีนจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯนั้น “ควบคุมได้ทั้งหมด” และ “ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ จีนจะน้อมรับเพื่อเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส และใช้เรื่องนี้ในการทดสอบความสามารถ เพื่อทำให้ประเทศแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม”
ถึงแม้ทรัมป์จะย้ำว่าจีนจะเป็นผู้จ่ายค่าใช้จ่ายด้านภาษี แต่เป็นธุรกิจของสหรัฐฯ ที่จะต้องจ่ายภาษีเพิ่มขึ้น และมีแนวโน้มว่าจะส่งต่อภาระด้านภาษีเหล่านี้ให้ผู้บริโภค จากความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์และที่ปรึกษาอุตสาหกรรม.