จีนยังเตรียมคุยการค้าหลังทรัมป์กดดันภาษี
เมื่อวันที่ 6 พ.ค.จีนระบุว่าคณะผู้แทนการค้ายังคงเตรียมไปสหรัฐฯเพื่อเจรจาการค้า หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กดดันจีนด้วยการประกาศขึ้นภาษีกับสินค้านำเข้าจากจีนในสัปดาห์นี้
โดยเมื่อวันที่ 5 พ.ค.ประธานาธิบดีทรัมป์ยกระดับความตึงเครียดระหว่างสองประเทศมหาอำนาจด้วยการตัดสินใจกลับลำจะปรับขึ้นภาษีรอบใหม่ ทั้งที่เพิ่งระบุเมื่อวันที่ 3 พ.ค.ว่าการเจรจาการค้ามีความก้าวหน้า
ตลาดหุ้นจมดิ่งลงและราคาน้ำมันลดฮวบจากคำพูดของเขา ส่งผลให้การเจรจาเพื่อยุติสงครามการค้าที่ดำเนินมานานหลายเดือนส่อเค้าจะมีปัญหา
“ เรายังอยู่ในกระบวนการเพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ที่เกี่ยวข้อง ที่ผมบอกคุณได้คือคณะทำงานของจีนกำลังเตรียมตัวเดินทางไปสหรัฐฯเพื่อการเจรจา” เกิงฉวง โฆษกกระทรวงต่างประเทศของจีนกล่าวในการแถลงข่าว
แต่เขาไม่ได้กล่าวว่า รองนายกรัฐมนตรีหลิวเหอ ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะในการเจรจาอย่างเป็นทางการจะยังเป็นส่วนหนึ่งของทีมอย่างที่กำหนดไว้แต่แรกหรือไม้
“ สิ่งสำคัญคือเรายังหวังว่าสหรัฐฯจะร่วมทำงานหนักกับจีนเพื่อให้บรรลุความต้องการคนละครึ่งทาง และมีผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน มีการทำข้อตกลงแบบวิน – วิน บนพื้นฐานของการเคารพให้เกียรติซึ่งกันและกัน” เขากล่าว
“บรรยากาศของการเจรจาเปลี่ยนไปแล้ว” เจ้าหน้าที่ของจีนคนหนึ่งซึ่งรับทราบเกี่ยวกับสถานการณ์ให้ความเห็น “ทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับมุมมองของสหรัฐฯ”
สื่อของจีนได้รับการบอกเล่าไม่ให้รายงานข่าวที่ขึ้นกับทวีตของทรัมป์ และรายงานตามสำนักข่าวซินหัวของจีนซึ่งเป็นสื่อของรัฐ แหล่งข่าวในเรื่องนี้ระบุ
ภาษีที่จัดเก็บกับสินค้านำเข้าจากจีน ผู้ที่จ่ายให้สหรัฐฯคือบริษัทที่นำเข้าสินค้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทที่ตั้งอยู่ในสหรัฐฯ โดยธุรกิจของชาวอเมริกัน ซึ่งได้รับผลกระทบจากนโยบายการค้าของทรัมป์ที่มีกับจีน ล้วนแต่อยากให้มีการยกเลิกภาษี ไม่ใช่จัดเก็บเพิ่มขึ้นอีก
“ ภาษีที่เพิ่มขึ้นหมายถึงการขึ้นภาษีกับครอบครัวอเมริกันหลายล้านครอบครัวและจะยิ่งทำให้มีการโต้ตอบเกษตรกรอเมริกันมากขึ้น” คริสติน เฟอร์นานเดซ โฆษกของสมาคมผู้นำอุตสาหกรรมค้าปลีกระบุ
สงครามการค้าส่งผลกระทบก่อให้เกิดความเสียหายกับทั้งสองฝ่ายเป็นจำนวนหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯในปีที่แล้ว กระทบหลายอุตสาหกรรมทั้งยานยนต์ เทคโนโลยี และที่มากที่สุดคือเกษตรกรรม ขณะที่สร้างความเสียหายกับการส่งออกให้
กับเศรษฐกิจและบริษัทจากญี่ปุ่นไปเยอรมนี.