เผยแอปเรียกแท็กซี่ไร้คนขับในจีน
Pony.ai ซึ่งเป็นหนึ่งในสตาร์ทอัพรถยนต์ไร้คนขับที่มีมูลค่าสูงสุด ได้เผยโฉมแอปพลิเคชั่นที่ให้ผู้ใช้งานสามารถเรียกรถแท็กซี่ขับอัตโนมัติมาใช้บริการได้ นับเป็นบริษัทแรกๆที่สามารถทำได้
โดยแอปพลิเคชั่น ซึ่งเปิดตัวเงียบๆในช่วงปลายเดือนธ.ค. ปีที่แล้ว ทำให้ผู้ใช้งานเรียกใช้บริการรถแท็กซี่ขับอัตโนมัติจากสถานที่ในหนานชา ซึ่งอยู่ในกวางโจว เมืองทางใต้ของจีน โดยรถสามารถขับเคลื่อนไปตามเส้นทางที่กำหนดจากทางบริษัท เช่น ออฟฟิศของบริษัท หรือพื้นที่อยู่อาศัย
ปัจจุบัน มีเพียงพนักงานและผู้ใช้งานระดับวีไอพีไม่กี่คนของบริษัทที่ได้ทดลองใช้แอป ที่เป็นโปรแกรมขนาดเล็กที่ฝังมาใน WeChat ซึ่งเป็นบริการส่งข้อความที่ได้รับความนิยมสูงสุดในจีน โดยตอนนี้ยังไม่คิดค่าบริการ
โดย Pony.ai ซึ่งเป็นบริษัทที่มีมูลค่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ตั้งอยู่ในจีนและสหรัฐฯ สร้างสรรค์ซอฟท์แวร์ที่ควบคุมรถไร้คนขับ บริษัทไม่ได้ผลิตรถเอง แต่เป็นหุ้นส่วนกับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ BYD และ GAC ของจีน
เทคโนโลยีของบริษัทขึ้นอยู่กับการทดสอบและการเก็บข้อมูลอย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาซอฟท์แวร์ ซึ่งจะทำให้รถแท็กซี่ขับอัตโนมัติให้บริการผู้โดยสารได้จริง
“ มันคือข้อมูล ที่กำลังพัฒนาศักยภาพของรถไร้คนขับของเรา เราจะต้องรับมือกับสถานการณ์ที่มองไม่เห็นอีกมาก และเราสามารถใช้สถานการณ์เหล่านั้นเพื่อปรับปรุงระบบ” เจมส์ เผิง ซีอีโอของ Pony.ai กล่าวให้สัมภาษณ์กับสื่อ CNBC ในวันที่ 14 ม.ค. เมื่อถูกถามถึงสิ่งที่ได้จากบริการรถแท็กซี่ไร้คนขับ
โดยเผิงระบุว่า บริษัทจะเพิ่มจำนวนรถจาก 20 คันเป็น 100 คันในปีนี้
ทั้งนี้ การพัฒนารถไร้คนขับเป็นส่วนสำคัญของแผนการขับเคลื่อนเทคโนโลยี “ Made in China 2025” ของรัฐบาลจีน ธุรกิจนี้มีการแข่งขันอย่างดุเดือดในจีน ทั้งบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่างไป่ตู้ และ ติตี ชูสิง จนถึงสตาร์ทอัพอย่าง Pony.ai และ WeRide.ai ที่กำลังพัฒนาเทคโนโลยี
หลายเมืองใหญ่ ทั้งกรุงปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้และกวางโจว มีพื้นที่ซึ่งออกแบบไว้สำหรับการทดสอบรถยนต์ขับอัตโนมัติ บริการรถร่วมโดยสารอัตโนมัติของ Pony.ai ไม่ใช่รายแรกในจีน
โดย WeRide.ai ทำการทดสอบรถไร้คนขับในเมืองกวางโจว และในสหรัฐฯ Waymo บริษัทย่อยของอัลฟาเบทก็เริ่มทดสอบบริการโรโบ – แท็กซี่กับผู้ใช้งานประมาณ 200-300 คน
ขณะเดี่ยวกัน เผิงระบุว่า Pony.ai มีแนวโน้มจะขยายบริการรถแท็กซี่อัตโนมัติให้กับประชาชนได้มากขึ้นในปีนี้
สุดท้ายแล้ว บริษัทต้องการขยายขนาดโครงการ เพื่อสร้างรูปแบบรายได้และสามารถแข่งขันได้กับตีตี ซึ่งเป็นเจ้าตลาดอยู่ในตอนนี้
“ บริการเช่นนั้นเป็นเป้าหมายสูงสุดที่เราอยากจะไปให้ถึง การแข่งขันในอนาคตจะเป็นอย่างไรคงยากที่จะบอกได้” เขากล่าวกับสื่อ CNBC
“ เป้าหมายสูงสุดของเราคือการให้บริการ ที่ปลอดภัยและสะดวกสบายกับผู้ใช้งาน อาจต้องใช้เวลานาน แต่เป็นรูปแบบรายได้สูงสุดของเรา”.