ตัวเลขการค้าจีนดีเกินคาดเดือนต.ค.
เมื่อวันที่ 8 พ.ย. จีนรายงานตัวเลขส่งออกและนำเข้าที่สูงเกินคาดการณ์ในเดือนต.ค. อ้างอิงจากข้อมูลของศุลกากรกลางของจีน
โดยจีนได้ดุลการค้า 34,010 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนต.ค. น้อยกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้คือ 35,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ยอดส่งออกที่เป็นค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 15.6% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน สูงกว่าตัวเลขจากโพลล์นักเศรษฐศาสตร์ของรอยเตอร์ที่คาดการณ์ว่าจะเติบโตอยู่ที่ 11% โดยตัวเลขในเดือนก.ย.อยู่ที่ 14.5%
ขณะเดียวกัน ตัวเลขนำเข้าเป็นค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯขยายตัวเพิ่มขึ้น 21.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์อยู่ที่ 14% และยอดนำเข้าเดือนก.ย.เติบโต 14.3%
มีการจับตาเฝ้าระวังข้อมูลเศรษฐศาสตร์จากจีนอย่างใกล้ชิดท่ามกลางกรณีพิพาททางการค้า เนื่องจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ ต้องการแก้ไขตัวเลขขาดดุลการค้ากับจีน
แม้ความตึงเครียดทางการค้ากับสหรัฐฯ จะยกระดับขึ้น แต่ข้อมูลของทางการจีนแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจของจีนยังไปได้ดีอยู่จนถึงตอนนี้
นักเศรษฐศาสตร์หลายคนระบุว่า ปรากฎการณ์นี้ส่วนใหญ่เกิดจากผู้ส่งออกได้ประโยชน์จากคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นก่อนมาตรการภาษีมีผลบังคับใช้ แต่ตัวเลขมีแนวโน้มจะชี้ให้เห็นถึงแรงกดดันของจีนในอีกไม่กี่เดือนหน้า
โดยตัวเลขส่งออกยังได้แรงหนุนจากการเติบโตที่เพิ่มขึ้น ทั้งจากทั่วโลกและในสหรัฐฯ Andy Xie นักเศรษฐศาสตร์อิสระให้ความเห็น
แม้จะเผชิญกับมาตรการภาษีที่หนักหน่วงของสหรัฐฯที่มีกับสินค้านำเข้าจากจีน แต่ค่าเงินหยวนที่อ่อนค่าลงช่วยชดเชยผลกระทบส่วนใหญ่ได้ Xie กล่าวกับสื่อ CNBC ก่อนมีการเผยแพร่ข้อมูลการค้านี้
กรณีการขัดแย้งทางการค้ากับสหรัฐฯ เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่จีนสามารถเปลี่ยนมากล่าวโทษประเด็นนี้ว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เศรษฐกิจจีนชะลอตัว ทั้งที่จริงแล้วสาเหตุสำคัญคือฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ ซึ่งกระทบการขายที่ดินของรัฐบาล การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน การขายอสังหาฯ และสุดท้ายคือ เศรษฐกิจมหภาค ซึ่งส่งผลกระทบต่อวอชิงตัน Xie กล่าว
“ รัฐบาลกล่าวว่าความเชื่อมั่นเป็นประเด็นหลัก และสงครามการค้าเป็นเหมือนการลั่นไก ดังนั้น ทำไมเราต้องโทษสงครามการค้า มันเป็นข้อแก้ตัวที่จะไม่ทำอะไร ( เพื่อแก้ปัญหา) มากกกว่าที่จะกำหนดว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของสงครามการค้าครั้งใหญ่ ” เขากล่าว
นอกจากนี้ GDP ของจีนอยู่ที่ 6.5% ในไตรมาส 3 ของปีนี้ ซึ่งถือเป็นตัวเลขการเติบโตที่อ่อนแรงลงมากที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2552 เป็นต้นมา ก่อนหน้าที่ความตึงเครียดทางการค้าจะยกระดับขึ้น จีนเองพยายามจะจัดการเพื่อให้เศรษฐกิจชะลอตัวลดความร้อนแรงลงหลังจากเติบโตแบบพุ่งทะยานมานานกว่า 3 ทศวรรษ
สงครามการค้ากับสหรัฐฯ มีความซับซ้อนกว่าเดิม โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจีนจะพยายามจัดการกับภัยคุกคามของความขัดแย้งทวิภาคีที่อาจส่งผลเชิงลบกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ตอนนี้ ตลาดกำลังจับตามองการประชุมในปลายเดือนพ.ย.นี้ระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์และประธานาธิบดีสีจิ้นผิงในการประชุมกลุ่มประเทศ G-20 ที่กรุงบัวโนสแอเรส ในอาร์เจนตินา.