ศก.จีนชะลอตัว ธ.กลางเตรียมแทรกแซง

จีนมีแนวโน้มใช้หลายมาตรการเพื่อบรรเทาผลกระทบจากสงครามการค้ากับสหรัฐฯ เนื่องจากมีสัญญาณบ่งชี้ทางเศรษฐกิจว่า เศรษฐกิจกำลังชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด นักเศรษฐศาสตร์ระบุเมื่อวันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา
“ เราคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัว แต่มันมากกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ ” เจฟ อึง หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ประจำเอเชียที่ Continuum Economics ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยระบุ
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ผลการสำรวจชี้ว่าการเติบโตในภาคส่วนโรงงานของจีนสะดุดลงหลังขยายตัวเติบโตนาน 15 เดือนต่อเนื่อง เนื่องจากคำสั่งซื้อของการส่งออกร่วงลงมากที่สุดในรอบกว่า 2 ปี ขณะที่ผลสำรวจทางการยืนยันว่าภาคการผลิตซบเซามากยิ่งขึ้น
โดยดัชนีการผลิตทางการลดต่ำลงในรอบ 7 เดือนมาอยู่ที่ 50.8 จุดในเดือนก.ย. ลดลงจาก 51.3 จุดในเดือนส.ค. และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์จากรอยเตอร์คือ 51.2 จุด อย่างไรก็ตาม ดัชนียังคงสูงกว่า 50 จุดต่อเนื่องกันถึง 26 เดือนแล้ว ค่าดัชนีที่สูงกว่า 50 ชี้ถึงการขยายตัว ขณะที่ต่ำกว่า 50 จะหมายถึงสัญญาณของการหดตัว
แต่ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อในภาคการผลิต (PMI) ของ Caixin/Markit ร่วงลงมากกว่าที่คาดการณ์ลงมาอยู่ที่ 50.0 จุดในเดือนก.ย. จากเดิม 50.6 จุดในเดือนก่อน ขณะที่โพลล์ของนักเศรษฐศาสตร์จากรอยเตอร์คาดการณ์เฉลี่ยอยู่ที่ 50.5 จุด
“ ผมคิดว่า เราอาจเห็นการปรับลดอัตราส่วนการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง (RRR) ภายในสิ้นปีนี้ ผมคิดว่าน่าจะต้องมีการปรับลดภายในสิ้นปี ” อึงกล่าว โดยอ้างถึงความเป็นไปได้ที่ธนาคารประชาชนของจีน หรือธนาคารกลางอาจลดอัตราส่วนการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องสำหรับธนาคารพาณิชย์เพื่อหนุนสภาพคล่องและการเติบโต
อัตราส่วนการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง (RRR) เป็นกฎระเบียบของธนาคารกลางที่กำหนดอัตราส่วนเงินฝากขั้นต่ำที่ธนาคารพาณิชย์ต้องถือเก็บไว้เป็นเงินสำรอง โดยธนาคารพาณิชย์สามารถเก็บเงินสำรองเหล่านี้ไว้ในรูปแบบของเงินสด หรือนำไปฝากไว้กับธนาคารกลางแล้วแต่กำหนด การลดจำนวนเงินสำรองลงจะช่วยเพิ่มเงินในส่วนที่ธนาคารสามารถให้สินเชื่อกับธุรกิจและบุคคลได้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจีนยังมีเครื่องมือที่ซับซ้อนอื่นๆ ที่จะจัดการกับนโยบายการเงินของประเทศ เช่น การซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดเปิด การควบคุมอัตราดอกเบี้ยกู้ยืม การซื้อหนี้จากธนาคารพาณิชย์แลกกับสภาพคล่อง หรือการให้เงินทุนระยะยาวประมาณ 3 เดือนถึง 1 ปีกับธนาคารพาณิชย์กู้ยืมเพื่ออัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ
แม้ว่าจะยังคงมีปัจจัยเสี่ยงด้านลบกับเศรษฐกิจจีนที่เกิดจากสงครามการค้ากับสหรัฐฯ อึงระบุว่า เขาคาดการณ์ว่าจะยังมีการขยายตัวในหลายภาคส่วน อย่างเช่นภาคบริการ ที่สามารถรองรับผลกระทบจากมาตรการภาษี และทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนยังดำเนินต่อไป
ทั้งนี้ รัฐบาลจีนตั้งเป้าสำหรับตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ที่ประมาณ 6.5% ในปีนี้.