ตลาดสมาร์ทโฟนจีนชะลอตัว

ยอดขายสมาร์ทโฟนในจีนลดลงเป็นประวัติการณ์ในไตรมาสแรกของปี 2561 อ้างอิงจากรายงานของบริษัทวิเคราะห์อิสระ Canalys
จากรายงานที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 26 เม.ย.ยอดการส่งสมาร์ทโฟนในจีนลดลงถึง 21% ต่อปีลงมาอยู่ที่ 91 ล้านเครื่อง โดย 8 ใน 10 ของแบรนด์มียอดขายลดลง
แบรนด์ยักษ์ใหญ่จากสหรัฐค่าใช้จ่ายทางการตลาดฯ อย่างแอปเปิลตกอันดับอีกครั้ง โดยหล่นลงมาจากอันดับ 4 มาอยู่ในอันดับ 5 เนื่องจากถูกแบรนด์เสี่ยวมี่ (ซึ่งเป็นแบรนด์ที่มีการส่งมอบสมาร์ทโฟนมากที่สุด) เบียดแซงขึ้นมา ยอดขายไอโฟนของแอปเปิลลดลงถึง 37% ลงมาอยู่ที่ 12 ล้านเครื่อง อ้างอิงจากข้อมูลของ Canalys โดยแอปเปิลเคยนำหน้าเสี่ยวมี่อยู่ไม่มากนักในไตรมาสสุดท้ายของปี 2560
ทั้งนี้ แบรนด์ผู้นำในตลาดสมาร์ทโฟนของจีนคือหัวเหว่ย รวมถึงแบรนด์ย่อย Honor ของบริษัท มียอดการส่งสมาร์ทโฟนที่เติบโตขึ้น 2%
ในรายงานชี้ให้เห็นว่า ตลาดสมาร์ทโฟนของจีนถูกยึดครองโดยแบรนด์ของจีนเองใน 4 อันดับแรกคือ หัวเหว่ย ออปโป วีโวและเสี่ยวมี่ โดยยอดขายของทั้ง 4 บริษัทรวมกันคิดเป็นมากกว่า 73% ของยอดขายสมาร์ทโฟนทั้งหมดในไตรมาสแรกของปีนี้
โดยรายงานยังระบุว่า แบรนด์ที่ไม่ติดอยู่ใน 5 อันดับแรกมีสัดส่วนในตลาดลดลงถึง 19% ในไตรมาสนี้
“ และช่องทางการจัดการในประเทศจีนใหญ่มาก และมีผู้ขายไม่กี่รายที่สามารถทำได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ ” Mo Jia นักวิเคราะห์ที่ Canalys กล่าว
“ ขณะที่หัวเหว่ย ออปโป วีโว และเสี่ยวมี่ต้องต่อสู้แข่งขันกันในตลาดที่หดตัว แต่ก็ยังมีความสบายใจจากความจริงที่ว่า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันเนื่องจากเป็นแบรนด์จีนเหมือนกัน ”
อย่างไรก็ตาม รายงานล่าสุดไม่ทำให้ประหลาดใจมากนัก เนื่องจากเมื่อช่วงต้นปี Nicole Peng จาก Canalys เคยมาให้สัมภาษณ์ในรายการของสื่อ CNBC ว่า หัวเหว่ยและเสียวมี่เป็น ‘ความรุ่งโรจน์ ’ ของจีน
นอกจากนี้ ยังมีรายงานของ Hattie He จาก Canalys ที่ระบุว่า “ เสี่ยวมี่เป็นแบรนด์สมาร์ทโฟนแบรนด์เดียวใน 5 อันดับที่เน้นตลาดสมาร์ทโฟนราคา 1,000 หยวน หรือราว 5,070 บาท และรุ่น Redmi ขายดีคิดเป็น 90% จากทุกรุ่นของเสี่ยวมี่ ” ซึ่งเป็นไปตามแนวนโยบายของบริษัทที่มุ่งเน้นเป็นแบรนด์สมาร์ทโฟนราคาประหยัดที่ซื้อได้ง่าย
ในรายงานยังระบุว่า แบรนด์อื่นจะกลับมาเติบโตได้อีกในไตรมาสหน้า เนื่องจากแบรนด์ออปโป วีโว และหัวเหว่ยจะมีการเปิดตัวสมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นใหม่
“ สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่จะกระตุ้นให้ผู้คนอยากเปลี่ยนเป็นรุ่นที่ดีขึ้น แต่แบรนด์ผู้ขายมีความระมัดระวังมากขึ้นที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้มีซัพพลายมากเกินไปในตลาด” โดยเสริมว่าตลาดอาจมีความซบเซาเป็นช่วงเวลาสั้นๆ เนื่องจากแบรนด์ให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนามากกว่าการทำตลาดผลิตภัณฑ์.