แบงก์ใหญ่แห่เพิ่มคาดการณ์ GDP จีน

สถาบันการเงินรายใหญ่ได้พากันปรับเพิ่มคาดการณ์ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ จีดีพี ของจีนในปีนี้ หลังจากจีนและสหรัฐฯ บรรลุข้อตกลงการค้าเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (12 พ.ค.) โดยมองว่าข้อตกลงดังกล่าวจะช่วยลดความตึงเครียดด้านการค้าระหว่างสองประเทศ หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) เมื่อวันที่ 2 เม.ย. ซึ่งเป็นเหตุให้สถาบันการเงินหลายแห่งพากันปรับลดคาดการณ์ จีดีพี จีนในช่วงก่อนหน้านี้
สหรัฐฯ และจีนบรรลุข้อตกลงปรับลดอัตราภาษีศุลกากรฝ่ายละ 115% เป็นเวลา 90 วัน ส่งผลให้อัตราภาษีของสหรัฐฯ ที่เรียกเก็บจากสินค้านำเข้าจากจีน ลดลงสู่ระดับ 30% จากเดิมที่ระดับ 145% และอัตราภาษีของจีนที่เรียกเก็บจากสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ลดลงสู่ระดับ 10% จากเดิมที่ระดับ 125%
หลังจากการบรรลุข้อตกลงดังกล่าว สถาบันการเงินหลายแห่งได้ปรับเพิ่มคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจจีน โดยมอร์แกน สแตนลีย์ (Morgan Stanley) ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ จีดีพีรายไตรมาสระยะสั้นของจีนในปี 2568 เป็น 4.5% จากเดิม 4% โดยคาดว่าบริษัทต่าง ๆ จะพยายามเร่งการส่งออกเพื่อให้ได้ประโยชน์จากภาษีศุลกากรที่ปรับตัวลง
ขณะที่ยูบีเอส (UBS) ปรับเพิ่มคาดการณ์ จีดีพี จีนในปี 2568 ขึ้นสู่ระดับ 3.7% – 4% จากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ 3.4% โดยมองว่าข้อตกลงการค้าจะช่วยลดผลกระทบที่มีต่อการเติบโตของเศรษฐกิจจีน
ทางด้านนาทิซิส (Natixis) ซึ่งเป็นธนาคารของฝรั่งเศส คาดการณ์ว่า จีดีพี จีนจะขยายตัว 4.5% ในปีนี้ เพิ่มขึ้นจากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ระดับ 4.2% และธนาคารเอเอ็นแซด (ANZ) คาดการณ์ว่าจีดีพี จีนในปีนี้จะขยายตัวมากกว่า 4.2%
นอกจากนี้ โนมูระ โฮลดิงส์ (Nomura Holdings) ซึ่งเป็นวาณิชธนกิจรายใหญ่ของญี่ปุ่น ได้ปรับเพิ่มคำแนะนำการลงทุนในหุ้นจีนขึ้นสู่ระดับ “เพิ่มน้ำหนักการลงทุนแบบมีกลยุทธ์ (tactical overweight)” โดยระบุว่าการที่สหรัฐฯ และจีนบรรลุข้อตกลงการค้าถือเป็นปัจจัยบวกอย่างมีนัยสำคัญต่อตลาดหุ้นจีน
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ของโนมูระกล่าวว่า ความคืบหน้าดังกล่าวจะช่วยลดความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ และจีน และจะเป็นปัจจัยหนุนตลาดหุ้นจีน พร้อมระบุว่า มูลค่าของหุ้นจีนยังคงน่าดึงดูดใจ และยังคงมีโอกาสที่นักลงทุนทั่วโลกจะกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นจีน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : จีนเร่งส่งออกเดือนมี.ค.พุ่ง 12.4% หนีภาษีทรัมป์