ฟังชัดๆ !! EEC จัดการน้ำ อย่างไร ไม่ขาดแคลน

ปัญหาขาดแคลนน้ำอุปโภค บริโภค นอกจากจะเป็น ปัญหาใหญ่ ไม่เฉพาะครัวเรือน แต่ภาคอุตสาหกรรมก็มีความต้องการไม่แพ้กัน
“อีอีซี” จะวางแผนพัฒนาแหล่งน้ำ อย่างไร ทั้งบนบก และใต้ดิน เพื่อนำมาป้อนให้กับภาคครัวเรือน และ ภาคอุตสาหกรรม
“ตอบได้เลยว่า อีอีซี จะไม่เจอปัญหาเรื่องน้ำขาดแคลน เหมือนเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ที่ขาดแคลนน้ำอุปโภค บริโภค เพราะ อีอีซี ได้เชื่อมโยง วางท่อจากหลายแหล่งน้ำ เพื่อมาป้อนให้กับพื้นที่”

ดร.คณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ได้เล่าเรื่อง แผนพัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่ 3 จังหวัดของโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก หรือ อีอีซี ได้แก่ จ.ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา ให้ฟังพร้อมกับบอกว่า
ที่สำคัญ อีอีซี มีแผนพัฒนาแหล่งน้ำรองรับ 20 ปี โดยมี สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ หรือ สทนช.เป็นผู้ดูแล ปริมาณความต้องการน้ำ แผนการลงทุนเรื่องน้ำ
“การลงทุนทั้งหมดได้วางแผนไว้ทั้งหมด ที่ผ่านมาก็ได้มีการทำอ่างเก็บน้ำเพิ่ม ที่จังหวัดจันทบุรี ซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ำ ทำให้มีปริมาณการใช้น้ำเพียงพออีก 5 – 7 ปี” ดร.คณิศ กล่าวว่า
นอกจากนั้นยังเสริมด้วยการให้เอกชนเข้ามาขุดบ่อน้ำบาดาลมากขึ้น ในอนาคตก็จะทำเรื่องการ กรองน้ำทะเลให้เป็นน้ำสะอาด เพื่อนำมาใช้อุปโภค บริโภค เรื่องนี้ทำได้เพราะเทคโนโลยีมีแล้ว กำลังมองการลงทุนอยู่ ซึ่งอีอีวีเป็นเจ้าภาพร่วมกับ สนทช.

“ฉะนั้นในระยะยาว อีอีซีจะมีแผนพัฒนาแหล่งน้ำที่วางไว้ มั่นใจว่าในอนาคตน้ำจะไม่ขาด และหลักการที่เราวางไว้คือ น้ำทุกหยดไม่ปล่อยให้ลงทะเล เราจะดึงมาใช้ประโยชน์ให้หมด”
นอกจากนั้น อีอีซี ยังได้ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มาช่วยทำแผนที่สำรวจน้ำบาดาลในพื้นที่อีอีซี และเจอแหล่งน้ำบาดาลขนาดใหญ่หลายแหล่ง บริเวณ จังหวัด ฉะเชิงเทรา บ้านค่าย สัตหีบ บ้านฉาง ระยอง
ซึ่งอีอีซีจะเปิดให้เอกชน เข้าไป ขุดเจาะ นำน้ำขึ้นมา เพื่อที่จะเอามาใช้ในช่วงที่ขาดแคลน ขบวนการทั้งหมดได้วางแผนไว้แล้ว และต้องถือว่าเป็นการวางแผน น้ำบนดิน และน้ำใต้ดิน พร้อมกันเป็นที่แรกในประเทศไทย ซึ่งตอนนี้กำลังรวมแผนทั้ง 2 เป็นชิ้นเดียวกัน
ฉะนั้นคำถามที่ว่า อีอีซีจะขาดแคลนน้ำ หรือไม่ ขอตอบว่า ไม่ขาดแคลนน้ำอย่างแน่นอน
ดร.คณิศ ยังได้เล่าถึงความคืบหน้าการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ว่า “อีอีซีเป็นกลไกที่จะผลักดันเศรษฐกิจในอนาคตของประเทศ ตอนนี้เราก็ต้องทำงานมากกว่าแผนเดิมที่วางไว้ และสิ่งที่ทำไปแล้วคือ โครงสร้างพื้นฐาน 4 โครงการ มูลค่าลงทุน ประมาณ 6.2 แสนล้านบาท ซึ่งหาผู้ลงทุนได้หมดแล้ว”
4 โครงการ ที่ว่านั้นประกอบด้วย โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน , โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก , โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง และท่าเรือมาบตาพุด เฟส 3 เป็นต้น และจะทยอยลงทุนในช่วง 3 ปีข้างหน้า และจำนวนเงินลงทุน 6.2 แสนล้านบาท นั้น ได้ใช้เงินหลวงเพียง 20 % อีก 80 % เป็นเงินเอกชนที่นำมาลงทุน
“4 โครงการใหญ่ แทบจะไม่ได้ใช้งบประมาณเข้ามาใช้เลย และยังเหลือเงินกลับเข้ารัฐประมาณ 2 แสนล้านบาท จากสนามบินได้ให้ค่าตอบแทนมา 3 แสนล้านบาท รถไฟใช้เงินหลวงประมาณ 1 แสนล้านบาท คืนไปก็จะเหลือ 2 แสนล้านบาท”
ดร.คณิศ ยังได้เล่าย้อนกลับไปตอนที่เริ่มพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษ ภาคตะวันออก ว่า
เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ตอนทำอีอีซี ก็ทำพร้อมกับศึกษาเรื่อง 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ก็พบว่า ประเทศไทยต้องปรับเรื่องภาคการผลิตใหม่ เพราะว่า เทคโนโลยีสมัยใหม่ได้เข้ามา ประกอบกับ ค่าแรงในประเทศได้เพิ่มขึ้น
“อุตสาหกรรมที่ใช้แรงงงาน ก็ไปประเทศเพื่อนบ้านหมด จึงเกิดหลุมใหญ่ในอุตสาหกรรมในประเทศไทย แล้วเราจะทำอะไร ก็เลยมาลงตัวที่ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ตอนแรก ไม่ค่อยเข้าใจ แต่ตอนนี้เริ่มเห็นภาพมากขึ้น”

“ระบบ automation หุ่นยนต์ รถยนต์ไฟฟ้า หรือ อีวี การแพทย์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมเกษตรสมัยใหม่ 3 ปีที่แล้วยังมีใครพูดถึงเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ แต่ตอนนี้อุตสาหกรรมเป้าหมายใหญ่ๆเริ่มเคลื่อนที่แล้ว”
สำหรับอุตสาหกรรมที่เลือกให้มาลงทุนใน อีอีซี นั้น ดร.คณิศ ย้ำว่า ต้องเป็น อุตสาหกรรมที่ไม่เป็นมลภาวะกับประชาชน
อีอีซี ตัดสินใจชัดเจน มาตั้งแต่ต้น อุตสาหกรรมที่เป็นปัญหากับสิ่งแวดล้อม จะไม่ทำ อุตสาหกรรมเดิม เช่น อุตสาหกรรมปิโตรเคมีคอล ที่ มาบตาพุด จะต้องนำระบบบออโต้เมชั่น มาใช้ในขบวนการผลิตให้มากขึ้นเพื่อลด ปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อม
เหล่านี้คือ จุดมุ่งหมาย ที่จะผลักดันให้ อีอีซี เป็นเขตเศรษฐกิจใหม่ เป็นความหวัง ของประเทศในอนาคต!!