ข่าวเด่น ข่าวดัง วันที่ 24-25 ม.ค.2566
อยู่ๆคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมือง ของวุฒิสภา ก็เสนอไอเดียสุดแปลก โดยเสนอให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต.รวมถึงภาครัฐบาล แจกเงินประชาชนคนละ 500 บาท ให้ผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง คาดว่าประมาณ 40 ล้านคน รวมเป็นเงิน 20,000 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในเดินทางมาเลือกตั้ง ทำเอาคนในสังคมตั้งคำถามถึงความเหมาะสมกันยกใหญ่
เรื่องที่ 1,745 เพราะถ้าเกิดมีการตอบสนองไอเดียสุดล้ำของ ส.ว.จริง จะเท่ากับการเอื้อประโยชน์แก่พรรคการเมืองฝั่งรัฐบาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะการจะของบประมาณนั้น ต้องผ่านการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี ใช่ว่า กกต.จะมีงบประมาณของตัวเองซะเมื่อไหร่
นอกจากนี้ คณะกรรมาธิการพัฒนาการเมือง ของวุฒิสภา ยังเสนอ การแก้ไขปัญหาการทุจริตเลือกตั้ง จึงไม่ควรกำหนดให้ประชาชนที่รับเงินซื้อเสียงมีความผิดตามกฎหมาย เพราะจะทำให้ประชาชนไม่กล้าแจ้งความดำเนินคดี
โดยมองว่าหากปล่อยให้ประชาชนรับเงินซื้อเสียงได้ จะทำให้ประชาชนเกิดความกล้าที่จะเปิดเผยตัว แล้วแจ้งความดำเนินคดีกับผู้สมัคร ส.ส.ที่แจกเงิน
นั่นก็เป็นอีกหนึ่งไอเดียสุดล้ำของ ส.ว.ที่ดูแล้ว ไม่รู้ว่าจะแก้ไขปัญหาการทุจริตเลือกตั้งจริงๆ หรือเพิ่มปัญหาให้มีการทุจริตมากขึ้นกันแน่
เรื่องที่ 1,746 จากมติของคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 18 ม.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเห็นชอบมาตรการช่วยเหลือลดค่าไฟฟ้าประจำเดือนม.ค.-เม.ย. 2566 สำหรับค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ หรือค่าเอฟที (Ft) ซึ่งเรียกเก็บที่ 93.43 สตางค์ต่อหน่วย สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยกลุ่มเปราะบาง ที่มีการใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน ประมาณ 19.66 ล้านราย โดยผู้ใช้ไฟตั้งแต่ 1-150 หน่วย จะได้ส่วนลดค่าไฟฟ้า 92.04 สตางค์ต่อหน่วย ขณะที่ผู้ใช้ไฟตั้งแต่ 151-300 หน่วย จะได้ส่วนลดค่าไฟฟ้า 67.04 สตางค์ต่อหน่วย วงเงินช่วยเหลือประมาณ 7,500 ล้านบาท
บก.ชวนคุยอยากบอกว่า รัฐบาลกำลังต้มคนทั้งประเทศ เพราะในความจริงแล้วมาตรการดังกล่าวน่าจะเป็นการปรับขึ้นค่าไฟมากกว่า หากลงลึกในรายละเอียดจะพบว่า มีการขึ้นค่าไฟในส่วนของกลุ่มเปราะบางที่ใช้ไฟตั้งแต่ 151-300 หน่วยต่อเดือน อีก 25 สตางค์ต่อหน่วย จากเดิมที่จ่าย 3.79 บาทต่อหน่วยเช่นเดียวกับกลุ่มเปราะบางที่ใช้ไฟระหว่าง 1-150 หน่วยต่อเดือน กลับต้องจ่ายเพิ่มเป็น 4.04 บาทต่อหน่วย
ขณะที่กลุ่มที่ใช้ไฟตั้งแต่ 301-500 หน่วย ต้องถูกยกเลิกส่วนลดค่าไฟ 15-75% จากเดิมที่ต้องจ่าย 4.21 บาทต่อหน่วย กลับต้องจ่ายเพิ่มเป็น 4.72 บาทต่อหน่วย
ส่วนล่าสุดคณะรัฐมนตรียังกล้าออกมาให้ข่าวอีกว่ามีมาตรการช่วยเหลือค่าไฟฟ้าเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ราคาพลังงานที่สูง แต่ตัวเลขไม่ได้แตกต่างจากที่ กบง. เคยแถลงเลย พวกท่านไม่ได้ดูข่าวกันบ้างเลยหรือไรครับเจ้านาย สื่อเค้าจับโกหกคำโตที่ถูกสอดไส้ด้วยคำสวยหรูไว้หมดแล้วนะครับผม
เรื่องที่ 1,747 ใครอยู่ใกล้ “ขุนคลัง” อาคม เติมพิทยาไพสิฐ ต้องรีบแสดงความยินดีกับรางวัลเกียรติยศ จากนิตยสาร The Banker ในเครือ Financial Times คัดเลือก “อาคม” ให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแห่งปี 2566 (Finance Minister of the Year 2023) ของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก
โดยในช่วงที่ผ่านมา กระทรวงการคลังได้ออกมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย และกลุ่มเปราะบาง, มาตรการคนละครึ่ง, การสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้แก่ผู้ประกอบการท่องเที่ยว และการสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Economy) ผ่านมาตรการทางภาษีต่างๆ และยังสามารถบริหารจัดการหนี้สาธารณะได้อย่างดี มุ่งสู่ดุลการคลังแบบสมดุลภายใน 10 ปีข้างหน้าได้อีกด้วย
ขณะที่ ปีงบประมาณ2567 ที่จะเริ่มต้นในวันที่ 1 ต.ค.นี้ กระทรวงการคลังจะจัดเก็บรายได้ 2.75 ล้านล้านบาท รายจ่าย 3.35 ล้านล้านบาท ขาดดุลงบปราณ 5.93 แสนล้านบาท โดยงบประมาณปี67 คาดว่า จะจัดเก็บรายได้สูงกว่าประมาณ 2 แสนล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้ นำมาลดการขาดดุลงบประมาณ 1 แสนล้านบาท และอีกส่วนหนึ่งนำไปเพิ่มงบรายจ่าย 1 แสนล้านบาท
เรื่องที่ 1,748 อีกครั้งหนึ่งที่พวกเราต้องดีใจกับธนาคารออมสิน ภายใต้การนำของ “เต๋-วิทัย รัตนากร” มีผลการดำเนินงานดีเด่นปี2565 กำไร 27,126 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ แถมเงินดังกล่าว ยังนำส่งคลัง 17,349 ล้านบาท และที่สำคัญ ธนาคารออมสินยังกันสำรองรวมทะลุ 1 แสนล้านบาทเป็นครั้งแรกด้วย
อย่างนี้ ไม่เรียกว่า “ดีใจ” แทนพี่น้องชาวออมสินได้อย่างไร เพราะมีเอ็มดีเก่งๆ แบบนี้ หวังว่า เงินรางวัลพิเศษ หรือ โบนัส จะได้เป็นกอบเป็นกำ 5 ถึง 6 เดือนหรือเปล่าครับพี่น้อง!!
โดยนพวัชร์