ข่าวเด่น ข่าวดัง วันที่ 30-31 ธ.ค.2565
จะว่างานเข้ารับปีใหม่ก็ไม่ผิด สำหรับ “สุทธิพงษ์ จุลเจริญ” ปลัดกระทรวงมหาดไทย ที่มีคลิปปรากฏว่อนเน็ต กรณีด่าข้าราชการว่า “โง่เป็นควาย” พร้อมถามถึงสถาบันการศึกษา มิหนำซ้ำยังแสดงท่าทีดูหมิ่นสถานศึกษาของข้าราชการชั้นผู้น้อยด้วย
เรื่องที่ 1,685 นั่นส่งผลให้เกิดเสียงวิจารณ์เป็นวงกว้าง ถึงพฤติกรรมของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ที่แสดงออกถึงความใหญ่โต ซึ่งนอกจากจะไร้ความเห็นอกเห็นใจข้าราชการชั้นผู้น้อยแล้ว ยังแสดงกิริยาข่มให้เล็กลงกว่าเดิมด้วย
อย่างไรก็ตาม สุทธิพงษ์ ได้ออกมาโพสต์ข้อโทษต่อกรณีดังกล่าวตอนหนึ่งว่า “ผมเคยแจ้งพี่ๆน้องๆชาวมหาดไทย ทุกคนให้ทราบมาก่อนหน้านี้แล้วว่าผมเป็นคนพูดจาสไตล์ลูกทุ่ง อาจมีการดุด่าลูกน้อง เพื่อเร่งรัดงานเพื่อพี่น้องประชาชน”
และยังว่า “แต่ในชีวิตรับราชการมา 34 ปีเศษแล้วผมไม่เคยด่าพี่น้องประชาชน มีแต่ยิ้มแย้มแจ่มใสทำตัวเหมือนลูกหลานญาติมิตร เพราะผมตระหนักถึงฐานะข้าราชการผู้มีหน้าที่รับใช้ประชาชน”
“ผมในฐานะคนชนบท โดยกำเนิด อาจจะชิน กับการพูดเสียงดัง และบางครั้งอาจพูดจาดุ ผมต้องกราบขออภัยทุกท่านที่ใช้คำพูดไม่เหมาะสม”สุทธิพงษ์ กล่าว
เรื่องที่ 1,686 นี่น่าจะเป็นแนวทางในลำดับต้นที่ควรจะทำตั้งแต่แรก แต่กลับมาทำเป็นสิ่งสุดท้ายของการแก้ปัญหาเกี่ยวกับค่าไฟ ที่สรุปแล้วภาคเอกชนจะต้องจ่ายที่ราคา 5.33 บาทต่อหน่วยในงวดเดือน ม.ค.-เม.ย. 66 หลังจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ. รวมถึงการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ. และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ทบทวนตัวเลขประมาณการราคาก๊าซธรรมชาติ ราคาน้ำมันดีเซล อัตราแลกเปลี่ยน และภาระหนี้คงค้างของ กฟผ. ใหม่ และประกาศออกมาล่าสุด
โดยคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน ซึ่งประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ,สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสมาคมธนาคารไทย และกระทรวงพลังงาน ได้มีโอกาสหารือกันอย่างจริงๆจังๆ เมื่อวานนี้ (29 ธ.ค.65) หลังจากที่ฝ่ายเอกขนก็ออกมาเรียกร้องสิ่งที่ตนเองต้องการ ขณะที่ฝั่งพลังงานเองก็ออกมาพูดถึงสิ่งที่ได้ดำเนินการไปแล้ว และอยากขอความร่วมมือภาคเอกชนด้วยผ่านสื่อมวลชน เรียกว่าสื่อสารกันผ่านตัวกลางมาตลอด จนเพิ่งได้พบกันอย่างที่บอกไปล่าสุด
ซึ่งข้อสรุปที่ได้ออกมาก็คือยังมีโอกาสที่เอกชนจะได้ส่วนลดค่าไฟลงได้อีกจากคำพูดของ พี่พงษ์ “สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาวน์” รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน ซึ่งระบุว่า ยังมีความจำเป็นที่จะต้องได้รับความร่วมมือจากภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมซึ่งเป็นผู้ใช้พลังงานรายสำคัญ อาทิ การพิจารณามาตรการจูงใจเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน การปรับเปลี่ยนไปใช้เชื้อเพลิงอื่นทดแทนก๊าซธรรมชาติที่มีต้นทุนสูง รวมถึงแนวทางการบริหารจัดการด้านอื่นๆ ซึ่งจะได้มีการนำข้อหารือและความเห็นต่างๆ ทั้งของกระทรวงพลังงาน กกพ. และ กกร. มาแสวงหาแนวทางปฏิบัติร่วมกันเพื่อให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมในการลดต้นทุนเชื้อเพลิงและคาดว่าจะสามารถลดค่าไฟฟ้าให้กับภาคอุตสาหกรรมได้ โดยมีเป้าหมายให้แล้วเสร็จภายในเดือนก.พ. 2566 นี้
ถ้ามีการหารือร่วมกันตั้งแต่แรก เรื่องก็คงไม่บานปลาย และต้องรอนานมาถึงขนาดนี้ พวกท่านว่าจริงไหมล่ะขอรับเจ้านาย แค่ประชาชนอย่างเราไม่เข้าใจว่าทำไมไม่ทำกันครับผม
โดยนพวัชร์