ข่าวเด่น ข่าวดัง ประจำวันที่ 14-15 ส.ค.2564
“ความตั้งใจจริง มีข้อมูลอยู่ในมือ 2 เรื่องที่อยากเล่าให้ฟัง แต่โชคไม่ดี เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ได้รับมิสคอร์ (missed call) จากเพื่อนสนิท เมื่อโทรกลับถึงรู้แจ้งเชิงขอร้องช่วงนี้ หยุดเขียนเรื่องโยกย้ายและเหตุการณ์ต่างๆ ของกระทรวงการคลัง ไม่กวนน้ำให้ขุ่น จนกว่า ครม.จะมีมติย้ายใครไปนั่งตรงไหน กลายเป็นประเด็นอึดอัดใจขึ้นมาทันที แต่งานนี้ เข้าใจได้ เพราะสถานการณ์ระหว่าง “ย้ายเล็ก” กับ “ย้ายใหญ่” ข้ออ้างเล็กเพียงนิดเดียวพากันถลำลึกไปทั้งกระทรวงการคลังก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว”
เรื่องที่ 83 ดังนั้น วันนี้ และจนกว่าการโยกย้ายประจำปีงบประมาณ 2565 จะเสร็จสิ้น ขออนุญาตเขียนเรื่องน่าสนใจของกระทรวงการคลัง ที่ผ่านพ้นมาแล้วหลายสิบปี หลายคนอาจจะเข้ามาทำงานไม่ทัน และอีกหลายๆ คนกำลังจะเกษียณในปีนี้และปีหน้า ก็ขอให้ระลึกนึกถึง “5 เสือกระทรวงคลัง” เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย จึงต้องขอบอกว่า ใครอยู่กระทรวงการคลังแล้ว ไม่รู้จัก 5 เสือถือว่า “ผิด” จากคนวงใน จะกลายเป็นวงนอกทันที
ตอนแรกที่คิดจะเขียนเรื่องนี้ ก็ไตร่ตรองอยู่นาน จนถึงวันนี้ ตัดสินใจเขียนเพื่อเป็นคติสอนใจน้องๆ เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในอนาคตจะได้ระวังตัว ไม่ดูถูกคน ไม่ตำหนิเด็กกับกระทำผิดเพียงเล็กๆ น้อย เพราะการตัดสินใจของผู้ใหญ่ที่ผิดพลาด อาจทำให้ชีวิตของตัวเอง หรือคนอื่นพังลงมาก็เป็นได้
ร.อ.สุชาติ เชาว์วิศิษฐ์, นิพัทธ พุกกะณะสุต, ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล, ศุภชัย พิศิษฐวานิช, และสมใจนึก เองตระกูล ซึ่งทั้งหมดนี้ มีชื่อที่นักข่าวกระทรวงการคลัง เรียกขนานนามแต่ละคนแตกต่าง ร.อ.สุชาติ “ท่านสุชาติ” “ท่านนิพัทธ์” “หม่อมเต่า” (ไม่มีท่าน) “ปลัดไก่” หรืออาจารย์ไก่ และ“พี่แป๋ง” คือ ตำนาน 5 เสือของกระทรวงคลัง ที่มีความเหมือนกันคือ ชาติตระกูลดี การศึกษาดีและเรียนจบจากต่างประเทศกันทุกคน เป็นทุนใหญ่ส่งผลให้บุคคลเหล่านี้ ได้เกษียณในตำแหน่งสูงที่สุดของชีวิตราชการบางคนในตำแหน่งอธิบดีกรมสำคัญๆ ของประเทศ ส่วนที่มีความแตกต่างนั้น ก็เยอะมาก ไม่อาจจะกล่าวถึงได้หมดในคราวเดียวกัน
แต่เรื่องเด่นที่มีความชัดเจน ไม่อาจลืมได้คือกรณี “พิพาทระหว่างท่านสุชาติกับหม่อมเต่า” ประเด็น การคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) เป็นเงินสดหรือเครดิต โดยหม่อมเต่า (สมัยนั้น อธิบดีกรมสรรพากรก่อนที่จะขึ้นเป็นปลัดคลัง) ยืนยันว่า การคืนภาษีแวตเป็นเงินสดดีที่สุด เพราะการคืนเงินสดเท่ากับเป็นการเพิ่มสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการ
ขณะที่ท่านสุชาติ ยืนยันเป็นกระต่ายขาเดียวว่า คืนภาษีเป็นเครดิตดีที่สุด เพราะจะได้ไม่มีการโกงภาษี ทำให้ทั้งสองคนเกิดความขัดแย้งไม่กินเส้นกันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ประเด็นนี้เอง จึงเป็นสาเหตุหลักในเวลาต่อมา เมื่อ “หม่อมเต่า” ขึ้นเป็นปลัดคลัง เสนอย้ายอธิบดีกรมสรรพากรที่มีชื่อ “ร.อ.สุชาติ เชาว์วิศิษฐ์” ไปนั่งตบยุงในกรมที่เล็กที่สุดของกระทรวงการคลังในช่วงนั้นคือ “กรมธนารักษ์”
และในปี2557 หรืออีก 13 ปีต่อมา ประเด็นนี้ ยังทำให้ข้าราชการกรมสรรพากรทั่วประเทศ ต้องสะพรึงกลัว กรณีกระทรวง การคลังตรวจพบข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของกรมสรรพากรโกงภาษีมูลค่าเพิ่ม มูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท
การมองต่างมุมที่หยิบขึ้นมาเขียน จะได้ให้เห็นภาพชัดๆ ว่า ความผิดพลาด หรือการคาดคะเนผิด ย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ แม้คนที่คิดค้นจะเป็นคนที่เก่งที่สุดของกระทรวงการคลังแล้วก็ตาม แต่ก็มีช่องโหว่เกิดขึ้นได้เสมอ เมื่อผู้บริหารกลายเป็นโจร
ยังมีตัวอย่างอีกมากมายของ 5 เสือกระทรวงการคลัง จะเล่าวันนี้ ให้จบทั้งม้วนคงเป็นไปได้ แต่จะขอทยอยเขียน ทยอยเล่าเป็นประเด็น สลับฉากๆ เป็นช่วงในวันเสาร์ อาทิตย์ เพราะแต่ละคนล้วนเก่งฉกาจไม่แพ้กัน ถ้า “หม่อมเต่า” เรียกลมฝนได้ อีก 4 คนที่เหลือ ก็เรียกลมฝนได้เหมือนกัน ถ้า “หม่อมเต่า” เป็นปลัดกระทรวงการคลัง มีหรือที่อธิบดีไม่คิดจะนั่งเป็นปลัดกระทรวงการคลัง
5 เสือกระทรวงการคลัง จึงยังไม่ได้จบเพียงเท่านี้ แต่เรื่องที่ 83 คือจุดเริ่มต้นของความคิดให้นึกอดีตของกระทรวงการคลังว่า ครั้งหนึ่ง กระทรวงเคยเสนอให้ ครม.ย้ายข้าราชการระดับ 9 และ 10 พร้อมกันถึง 10 ตำแหน่ง เมื่อปี2539 แม้กระทั่งคนที่ชื่อ “ปรีดี บุญยัง” นั่งอธิบดีกรมบัญชีกลางอยู่ดีๆ ยังถูกย้ายไปเป็นอธิบดีกรมศุลกากร ต้องตกใจตามปาก “หม่อมเต่า” ที่ระบุว่า “ปรีดี โกงน้อยที่สุด” จึงย้ายไปกรมศุล “ปรีดี” โต้ทันควันอย่างปวดใจว่า “โกงน้อยก็ยังโกง” นะ ไอ้เต่า!! ขอจบเพียงแค่นี้
โดย นพวัชร์